“อัลไซเมอร์” กับความเชื่อของคนส่วนใหญ่ที่คิดผิดๆ ว่าโรคนี้เป็นโรคที่ผู้สูงอายุทุกคนต้องและเป็นโรคที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ แต่ทุกคนทราบหรือไม่ว่าแท้จริงแล้วไม่ได้เป็นตามที่ทุกคนคิดแต่อย่างใดอีกทั้งยังต่างกับความเชื่อเหล่านี้อย่างสิ้นเชิง เริ่มตั้งแต่ผู้สูงอายุทุกคนไม่จำเป็นต้องเป็นโรคนี้กันทุกคนเมื่ออายุพวกท่านมากขึ้นและไม่ได้เกิดขึ้นได้เองตามธรรมชาติแต่มีสิ่งที่กระตุ้นให้โรคนี้เกิดขึ้น
“อัลไซเมอร์” คืออะไร อันตรายต่อผู้สูงวัยมากหรือไม่?
“โรคอัลไซเมอร์” เกิดจากความเสื่อมถอยของการทำงานหรือโครงสร้างของเนื้อเยื่อของสมองซึ่งมักพบในผู้สูงอายุแต่ไม่ใช่ความเสื่อมโดยธรรมชาติเพราะผู้สูงอายุทุกคนไม่จำเป็นต้องเป็นโรคนี้กันทุกคน แต่เป็นความเสื่อมที่เกิดจากโปรตีนชนิดหนึ่งที่เรียกว่า เบต้า-อะไมลอยด์ (ชนิดไม่ละลายน้ำ) ซึ่งเมื่อไปจับกับเซลล์สมองจะส่งผลให้เซลล์สมองเสื่อมและฝ่อลง รวมถึงทำให้การสื่อสารระหว่างเซลล์สมองเสียหายจากการลดลงของสารอะซีติลโคลีนซึ่งเป็นสารสื่อประสาทที่ส่งผลโดยตรงกับความทรงจำนั่นเอง
การสะสมของเบต้า-อะไมลอยด์ส่งผลให้ประสิทธิภาพการทำงานของสมองค่อยๆ ลดลง เริ่มจากสมองส่วนฮิปโปแคมปัสที่มีบทบาทสำคัญในการจดจำข้อมูลใหม่ๆ เมื่อเซลล์สมองส่วนนี้ถูกทำลาย ผู้ป่วยจะเริ่มมีปัญหาเรื่องความจำโดยเฉพาะความจำระยะสั้น จากนั้นความเสียหายที่เกิดขึ้นจะแพร่กระจายไปสู่สมองส่วนอื่นๆ และส่งผลต่อการเรียนรู้ ความรู้สึกนึกคิด ภาษา และพฤติกรรม
ปัจจัยเสี่ยงของการเกิดโรค
1. อายุเพิ่มขึ้น
โดยพบว่าหลังอายุ 65 ปี ผู้ป่วยจะมีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคเพิ่มเป็น 2 เท่าในทุกๆ 5 ปีที่อายุมากขึ้น อย่างไรก็ตามมีผู้ป่วยที่มีอายุต่ำกว่า 65 ปีด้วยเช่นกัน
2. พันธุกรรม
เช่น มีญาติสายตรงในครอบครัวที่ป่วยด้วยโรคนี้หลายคน แต่พบเป็นส่วนน้อย คือประมาณร้อยละ 5 เท่านั้น
3. โรคดาวน์ซินโดรม
ผู้ป่วยถือเป็นกลุ่มเสี่ยงต่อการเกิดโรค เนื่องจากพบว่าผู้ป่วยโรคนี้มีความผิดปกติของการสะสมของโปรตีนบางชนิดที่ทำให้เกิดโรคของการเสียความทรงจำระยะสั้นได้เช่นกัน
4. การได้รับอุบัติเหตุที่ศีรษะ
มีรายงานการศึกษาหลายรายงานพบว่า ผู้ป่วยโรคประเภทนี้จากสาเหตุอื่นๆ มีประวัติเคยได้รับอุบัติเหตุที่ศีรษะมากกว่าคนที่ไม่มีสมองเสื่อม อย่างไรก็ตามในบางการศึกษาไม่พบว่าการได้รับอุบัติเหตุที่ศีรษะมาก่อนเป็นปัจจัยเสี่ยงของการเกิดภาวะสมองเสื่อม
5. โรคของหลอดเลือด
ซึ่งประกอบด้วย
-
น้ำหนักเกินมาตรฐาน
-
สูบบุหรี่หนัก
-
ขาดการออกกำลังกาย
-
ไขมันในเลือดสูง
“อัลไซเมอร์” กับวลี “ความจำสั้นแต่รักฉันยาว”
หากจะกล่าวกันตามจริง อัลไซเมอร์ คือโรคที่เริ่มต้นด้วยการที่ผู้ป่วยจะมีอาการสูญเสียความทรงจำในระยะสั้นซึ่งคล้ายคลึงกับการขี้หลงขี้ลืมของผู้สูงวัยทั่วๆ ไป หากแต่หลังจากนั้นผู้ป่วยร้อยละ 80-90 จะเริ่มมีอาการจิตเวชร่วมอยู่ด้วยซึ่งอาจสังเกตพฤติกรรมตัวละครจากภาพยนตร์หลายๆ เรื่องที่มักจะมีอาการก้าวร้าว หนีออกจากบ้าน ถามคำถามซ้ำๆ เป็นต้น ซึ่งนั่นก็ทำให้การดูแลผู้สูงวัยหรือผู้ป่วยของโรคนี้ดูแลยากขึ้นไปอีก
เมื่อความจำอยู่ได้เป็นระยะ
โดยทั่วไปแล้วอาการทั่วไปของโรคนี้สามารถแบ่งออกได้เป็น 3 ระยะหลักๆ โดยมีอาการที่รุนแรงเพิ่มขึ้นตามลำดับ ดังนี้
ระยะที่แรก
ระยะแรกเริ่มนี้เป็นระยะที่คนรอบข้างหรือลูกหลานยังสามารถดูแลได้
- ผู้ป่วยจะมีความจำถดถอยจนตัวเองรู้สึกได้
- ชอบถามซ้ำ พูดซ้ำๆ เรื่องเดิม สับสนทิศทาง
- เริ่มเครียด อารมณ์เสียง่ายและซึมเศร้า แต่ยังสื่อสารและทำกิจวัตรประจำวันได้
ระยะกลาง
เป็นระยะที่อาการเริ่มรุนแรงขึ้นอย่างชัดเจน ซึ่งบางรายถึงกับเปลี่ยนบุคลิกไปเลยทีเดียว
- ความจำแย่ลง บางรายเดินออกจากบ้านอย่างไร้จุดหมาย
- บุคลิกและพฤติกรรมเปลี่ยนไป เช่น จากเคยเป็นคนใจเย็นก็กลายเป็นคนฉุนเฉียว เกรี้ยวกราดง่าย
- เริ่มมีปัญหาในการใช้ชีวิตประจำวันและหวาดระแวงเรื่องต่างๆ เช่น ชงกาแฟไม่ได้ ใช้โทรศัพท์ไม่ได้ คิดไปเองว่าคู่สมรสนอกใจ เริ่มมีปัญหาในการเข้าสังคม
ระยะสุดท้าย
ถือว่าเป็นระยะที่อาการหนักที่สุด โดยอาการหลักๆ คือตอบสนองกับสิ่งรอบข้างน้อยลงรวมไปถึงอาจเป็นผู้ป่วยติดเตียงได้เลย
- รับประทานได้น้อยลง
- การเคลื่อนไหวน้อยลงหรือไม่เคลื่อนไหวเลย
- ไม่สามารถช่วยเหลือตนเองได้
- สมองเสื่อมเป็นวงกว้าง
- ภูมิคุ้มกันอ่อนแอซึ่งมักนำไปสู่การติดเชื้อและเสียชีวิตในที่สุด
ซึ่งส่วนใหญ่แล้ว ช่วงเวลาของระยะอาการตั้งแต่แรกจนถึงสุดท้าย (ตั้งแต่วินิจฉัยว่าเป็นโรคจนกระทั่งเสียชีวิต) จะใช้ไปทั้งหมดประมาณ 8-10 ปี โดยในช่วงที่เป็นนั้นต้องพาไปพบแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญเรื่อยๆ เพื่อสังเกตและประเมินอาการ
เมื่อ “ฉัน(กลัว)ความจำเสื่อม..” จะทำอย่างไร
แน่นอนว่าคงไม่มีใครอยากประสบกับชะตากรรมในการเป็นผู้ป่วยความจำสั้นหรือเสื่อม ฉะนั้นสิ่งที่ควรทำคือต้องป้องกันตนเองเพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยงที่ก่อให้เกิดโรคนี้ แต่หากไม่สามารถเลี่ยงได้เราควรดูแลผู้สูงอายุในครอบครัวเราตามคำแนะนำ ดังนี้
วิธีป้องกันโรคอัลไซเมอร์
เนื่องจากโรคสูญเสียความทรงจำนั้นมีสาเหตุที่แน่ชัดมากนัก ดังนั้นการป้องกันจึงอิงตามปัจจัยเสี่ยง คือ
1. รับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ หลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมันอิ่มตัว และโคเลสเตอรอลสูง
2. รักษาน้ำหนักตัวไม่ให้เกินมาตรฐาน
3. ไม่สูบบุหรี่และเลี่ยงการที่อยู่ใกล้บริเวณที่มีควัน
4. ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอและดูแลตนเองไม่ให้เกินอุบัติเหตุ
ดูแลผู้สูงอายุ-ผู้ป่วยโรคความจำเสื่อม
1. รักษาด้วยการไม่ใช้ยา
1.1 กิจวัตรประจำวันและการฝึกทักษะการเข้าสังคม
ให้ผู้ป่วยเข้าร่วมกิจกรรมและทำกิจวัตรประจำวันด้วยตนเองทั้งในภายในครอบครัวและสังคมภายนอก
1.2 สิ่งแวดล้อม
ดูแลปรับสภาพสิ่งแวดล้อมให้เหมาะสมเพื่อที่จะลดสิ่งที่กระตุ้นให้อาการรุนแรงขึ้น เช่น เสียงดังรบกวน ของเกะกะ เป็นต้น
1.3 พฤติกรรมและจิตบำบัด
เป็นเรื่องปกติสำหรับผู้สูงอายุที่ป่วยโรคนี้ที่ว่าจะมีอาการหงุดหงิดและฉุนเฉียวง่าย ดังนั้นผู้ดูแลจะต้องคอยพูดจาโน้มน้าวหรือเบี่ยงเบนให้ผู้ป่วยที่โมโหสนใจประเด็นอื่นหรือมีดนตรีบำบัดร่วมด้วย
2. รักษาด้วยการใช้ยา
2.1 ยาที่ใช้รักษาตามอาการด้านการรู้คิด
- เช่น ยา donepezil, galantamine, rivastigmine เป็นต้น สามารถใช้กับผู้ป่วยที่มีอาการเล็กน้อยถึงรุนแรง ทำให้มีสื่อประสาทในการรู้สึกและตอบสนองเพิ่มขึ้น เหมาะกับผู้ป่วยที่มีอาการแรกเริ่มหรือน้อย
- ยากลุ่ม NMDA receptor antagonist ทำให้ลดการเกิดพิษต่อเซลล์ประสาท ใช้ในผู้ป่วยที่มีอาการปานกลางถึงรุนแรง
2.2 ยาที่ใช้รักษาปัญหาพฤติกรรม อารมณ์ และความผิดปกติทางจิต
- เช่น ยาต้านเศร้า ยาลดอาการหลงผิดประสาทหลอนและอาการกระวนกระวาย ยาคลายกังวลหรือยานอนหลับ โดยแพทย์อาจจะปรับยาตามอาการเพื่อให้สมดุลโดยพิจารณาถึงประโยชน์และผลข้างเคียงของการใช้ยา
ท้ายที่สุด ไม่ว่าจะเป็นโรคความจำเสื่อมทั้งระยะสั้นหรือระยะยาวก็ต่างส่งผลอันตรายให้กับผู้สูงอายุทั้งสิ้น เนื่องจากพวกท่านมีความเสี่ยงสูงที่จะเป็นโรคนี้ ส่งผลให้อาการแย่ลงเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงเสียชีวิตในที่สุด ดังนั้นการดูแลรักษาจึงต้องประเมินจากหลายๆ องค์ประกอบไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของประสาทการรับรู้-ตอบสนอง สุขภาพจิต และพฤติกรรม เพื่อให้คุณภาพการรักษาดีที่สุดต่อผู้ป่วย
บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ
สังเกตภาวะซึมเศร้าในผู้สูงอายุ มีความอันตรายอย่างไร
บทความอื่นๆ
ผู้ป่วย อัลไซเมอร์ ไม่ยอมนอน ดูแลอย่างไรดี?
ปวดศีรษะจากกล้ามเนื้อเกร็งตัว ในผู้สูงอายุ อันตรายหรือไม่ รักษาอย่างไร?
5 ท่า บริหาร หัวใจ ผู้ สูงอายุ ช่วยให้ผู้สูงวัยหัวใจแข็งแรง