“ใจสั่น” เป็นอาการที่เกิดขึ้นได้กับทุกเพศและทุกวัย หากแต่ในผู้สูงวัยนั้นจะเกิดขึ้นบ่อยกว่าวัยอื่นๆ ซึ่งอาการประเภทนี้มักที่จู่ๆ ก็เกิดขึ้นเองโดยไม่ทราบสาเหตุว่ามากจากอะไร บางรายอาจเกิดขึ้นสักครู่แล้วหายไปเองหรือบางรายอาจเป็นถี่ๆ เป็นหลายครั้งต่อวัน ซึ่งนั่นอาจเป็นสัญญาณเตือนว่าผู้สูงอายุในครอบครัวของคุณอาจตกอยู่กับการเป็นโรคร้ายแรงหรือเปล่า
จู่ๆ ก็ “ใจสั่น” อาการนี้คืออะไรกันแน่
เป็นความรู้สึกที่หัวใจเต้นไม่สม่ำเสมอ ไม่ว่าจะช้า เร็ว กระตุก หรือสะดุด ผลของอาการประเภทนี้เป็นได้ตั้งแต่มีอาการรำคาญ เหนื่อยง่าย อัมพาต ไปจนถึงเสียชีวิตกะทันหัน อาการนี้พบได้บ่อยโดยเฉพาะผู้ป่วยโรคหัวใจและอาจพบร่วมกับอาการอื่น ๆ เช่น เจ็บหน้าอก เหนื่อยง่าย เวียนศีรษะ หรือหมดสติ เป็นต้น
การเต้นของหัวใจในภาวะปกติ
หัวใจเต้นได้โดยอัตโนมัติ โดยปกติแล้วหัวใจห้องบนจะเริ่มเต้นก่อน แล้วจึงส่งกระแสไฟฟ้าไปกระตุ้นหัวใจห้องล่าง อัตราการเต้นของหัวใจขึ้นกับสภาพร่างกายและกิจกรรมที่ทำ เช่น เวลานอนหลับหัวใจจะเต้นช้ากว่าเวลาที่ออกกำลังหรือภาวะไข้สูง หัวใจจะเต้นเร็วขึ้น การเต้นของหัวใจในภาวะปกติจะอยู่ในช่วง 50-100 ครั้งต่อนาที
6 สาเหตุที่ไม่น่าวางใจ
โรคหัวใจหลาย ๆ ชนิด ทำให้เกิดอาการนี้ได้จากการที่มีหัวใจเต้นเร็วผิดปกติ เช่น โรคลิ้นหัวใจ โรคกล้ามเนื้อหัวใจตาย โรคหัวใจโตหรือในผู้ป่วยบางคนเกิดจากความผิดปกติของไฟฟ้าในหัวใจที่เป็นมาแต่กำเนิด นอกจากโรคหัวใจแล้ว มีอีกหลายภาวะที่อาจทำให้เกิดอาการได้ เช่น โรคไทรอยด์เป็นพิษ โรคโลหิตจาง หรือในบุคคลที่ใช้สารเสพติด เช่น ยาบ้าหรือยาอี เป็นต้น ซึ่งนอกจากเรื่องสุขภาพในบางรายที่อาจเป็นก็ยังมีสาเหตุอื่นๆ ได้อีก ดังนี้
1. ความเครียด วิตกกังวล โรคแพนิค
ทั้งสองปัจจัยนี้ มีผลเร่งการเต้นของหัวใจหลั่งออกมา เพื่อให้ร่างกายพร้อมที่จะเผชิญความกลัว แม้จะไม่ได้อยู่ในสถานการณ์ที่เป็นอันตรายก็ตาม ส่งผลให้เกิดอาการ ใจเต้นเร็ว เหงื่อแตก สั่น หายใจติดขัด และเจ็บหน้าอกได้
2. ได้รับคาเฟอีนมากเกิน
เพราะคาเฟอีนเป็นสารที่มีฤทธิ์กระตุ้นการเต้นของหัวใจใจเร็วกว่าปกติได้ นอกจากกาแฟแล้ว คาเฟอีนยังพบจากอาหารหรือเครื่องดื่มอื่นๆ ได้อีก เช่น ชา ช็อกโกแลต โซดา เครื่องดื่มชูกำลังต่างๆ เป็นต้น
3. การออกกำลังกายที่มากเกินกำลัง
หากผู้สูงอายุทำการออกกำลังกายที่เกินกำลังมากๆ อาจทำให้หัวใจของท่านเต้นเร็วขึ้นเพื่อสูบฉีดเลือดไปเลี้ยงกล้ามเนื้อได้ทัน ทำให้หัวใจทำงานหนักเกินไป เต้นแรงและเร็วขึ้น จนกระทั่งเกิดอาการใจเต้นผิดปกติจนท่านรู้สึกได้
4. การรับประทานยาบางชนิด
ผู้สูงอายุบางรายอาจจะต้องรับประทานยาบางชนิดทำให้เกิดอาการหัวใจเต้นสะดุดได้ เช่น ยาปฏิชีวนะ ยาลดน้ำหนัก หรือ ยาลดความดัน เป็นต้น ซึ่งหากรับประทานยาเหล่านี้ร่วมกันก็อาจทำให้มีอาการได้
5. ระดับน้ำตาลในเลือดต่ำจนเกินไป
จริงอยู่ที่หากมีน้ำตาลในร่างกายของผู้สูงอายุมากๆ ก็จะไม่ดีนัก แต่ในข้อนี้บุตรหลานในครอบครัวควรใส่ใจให้มากๆ เนื่องจากหากมีระดับน้ำตาลในเลือดของผู้สูงวัยจนต่ำเกินไปก็ส่งผลเสียในการทำงานของหัวใจของท่านเช่นเดียวกัน
6. การมีไข้หรือติดเชื้อ
การมีไข้มากกว่า 37.8°C เป็นหนึ่งในสภาวะที่เกิดขึ้นบ่อยเมื่อผู้สูงอายุป่วย ทำให้ร่างกายของท่านใช้พลังงานมากขึ้นเพื่อต่อสู้กับความเจ็บป่วย หัวใจทำงานหนักขึ้น ทำให้หัวใจสูบฉีดแรงและเร็วขึ้นได้
ทำอย่างไรเมื่อผู้สูงอายุ “ใจสั่น”
- หยุดพัก หากผู้สูงอายุท่านนั้นๆ ได้ทำกิจกรรมอะไรที่ต้องออกแรงเยอะๆ เช่น การยกของที่ต้องใช้แรง ออกกำลังกาย เป็นต้น หากมีอาการใจเต้นเร็วผิดปกติ บุตรหลานควรดูแลให้ท่านหยุดทำกิจกรรมนั้นๆ โดยทันที
- พบแพทย์ด่วน ถ้ามีอาการเหล่านี้ ได้แก่ เจ็บหน้าอก เหนื่อย เป็นลม
- งดชา กาแฟ บุหรี่ เหล้า สารเสพติด หรือ เครื่องดื่มใดๆ ที่มีคาเฟอีนเป็นส่วนประกอบ
อย่างไรก็ดี หากหลีกเลี่ยงสาเหตุหรือสิ่งกระตุ้นดังกล่าว และปรับพฤติกรรมแล้วแต่ก็ยังไม่ได้ผล แนะนำให้มาทำการตรวจวินิจฉัย หรือหากมีอาการที่ผิดปกติอื่นๆ ร่วมด้วย เช่น เจ็บหน้าอก แน่นหายใจไม่ออก ควรเข้าพบแพทย์ทันทีเพื่อที่ผู้สูงอายุจะได้รับการดูแลรักษาจากแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญที่ถูกต้องต่อไป
บทความอื่นๆ
ผู้ป่วย อัลไซเมอร์ ไม่ยอมนอน ดูแลอย่างไรดี?
ปวดศีรษะจากกล้ามเนื้อเกร็งตัว ในผู้สูงอายุ อันตรายหรือไม่ รักษาอย่างไร?
5 ท่า บริหาร หัวใจ ผู้ สูงอายุ ช่วยให้ผู้สูงวัยหัวใจแข็งแรง