การดูแลแผลกดทับในผู้ป่วยสูงอายุ

“แผลกดทับ” เป็นหนึ่งในบรรดาแผลหลายๆ ประเภทที่ส่งผลต่อชีวิตของเราได้โดยตรง เนื่องจากเกิดการกดทับเนื้อจนกลายเป็นเนื้อตายและมีแผลเกิดขึ้นมา การมีแผลชนิดนี้ทำให้เงื่อนไขและข้อจำกัดของการเคลื่อนไหวของผู้ป่วยเพิ่มมากขึ้นและทำกิจกรรมในระหว่างวันได้น้อยลงโดยเฉพาะผู้สูงอายุที่ก็มีความเสี่ยงในการเกิดแผลที่น่ากลัวนี้ได้เช่นเดียวกันเพราะไม่สามารถช่วยเหลือตนเองได้ในการดูแล ดังนั้นหากเป็นแล้วต้องรีบรักษาให้หายโดยเร็วที่สุดเพราะมิเช่นนั้นอาจเกิดการติดเชื้อและเสียชีวิตได้

 

การดูแลแผลกดทับในผู้ป่วยสูงอายุ

 

มารู้จัก “แผลกดทับ” คืออะไร

แผลชนิดนี้เกิดจากการที่ผิวหนังหรือเนื้อเยื่อใต้ผิวหนัง (เฉพาะที่) ถูกกดทับมาเป็นเวลานานอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้เลือดไม่สามารถไหลเวียนไปหล่อเลี้ยงบริเวณที่ถูกกดทับได้อย่างสะดวกและส่งผลให้ผิวหนังบริเวณดังกล่าวเกิดรอยแดง บาดแผลและเนื้อตายในที่สุด ทั้งนี้อาจมีอาการเจ็บปวดร่วมด้วยโดยมักพบแผลชนิดนี้ตามตำแหน่งที่ผิวหนังติดกับกระดูกต่างๆ เช่น ส้นเท้า สะโพก และก้นกบเป็นต้น โดยส่วนใหญ่ปัญหาจากแผลชนิดนี้เกิดขึ้นกับผู้ป่วยติดเตียงและผู้สูงอายุเนื่องจากไม่สามารถดูแลและทำแผลเองได้

ตำแหน่งที่มักเจอแผลกดทับ

จากที่กล่าวไว้ข้างต้นว่าแผลชนิดนี้มักอยู่ตามบริเวณผิวหนังที่ติดกับกระดูก ดังนั้นตำแหน่งที่มักพบเจอจะประกอบด้วย

  1. บริเวณด้านหลังศีรษะและหู (เป็นบริเวณที่หากเกิดแผลก็จะสามารถเห็นความลึกได้ชัดเจนมากเนื่องจากเป็นตำแหน่งที่ไม่มีเนื้อเยื่อใต้ชั้นผิวหนังนั่นเอง)
  2.  บริเวณหัวไหล่
  3. บริเวณข้อพับแขน
  4. บริเวณก้น
  5. บริเวณสะโพกและเข่า
  6. บริเวณส้นเท้า

สาเหตุที่ทำให้เกิดแผลชนิดนี้มีอะไรบ้าง

แม้จะเป็นแผลที่เกิดจากการกดทับก็จริงแต่ปัจจัยที่ทำให้เกิดนั้นมีมากมาย โดยประกอบด้วยสาเหตุต่างๆ ดังนี้

1. ขาดการเคลื่อนไหว

เป็นสาเหตุที่ทักพบเจอในผู้ป่วยติดเตียงและผู้สูงอายุ เนื่องจากสภาวะทางร่างกายที่ไม่สามารถขยับไปไหนได้มากจึงทำให้ขาดการเคลื่อนไหวและนอนติดเตียงอยู่ตลอดเวลา ทำให้ร่างกายถูกกดทับเป็นเวลานานๆ ส่งผลให้เลือดไหลเวียนไปหล่อเลี้ยงไม่พอ

2. ผิวแห้งเพราะขาดความชุ่มชื้น

“ผิวแห้ง” เป็นปัญหาสภาพผิวที่สามารถพบเจอได้ในทุกเพศทุกวัยซึ่งอาจมีสาเหตุมาจากต่อมไขมันผลิตน้ำมันหล่อเลี้ยงผิวได้น้อยกว่าปกติ จึงทำให้ผิวไม่สามารถกักเก็บความชุ่มชื้นไว้ได้นานและทำให้ผิวแห้งและเกิดแผลขึ้นมาได้

3. โภชนาการไม่เพียงพอ

ถือว่าเป็นหนึ่งสาเหตุที่สำคัญเนื่องจากปัญหานี้อาจมีเรื่องของสุขภาพจิตร่วมอยู่ด้วย “อาหาร” นั้นนับได้ว่าเป็นยาอีกแขนงหนึ่งที่ซึ่งหากเรารับประทานสิ่งที่มีประโยชน์ก็จะช่วยเสริมสร้างภูมิให้แก่ร่างกายได้ก็เป็นอย่างดีแต่หากสารอาหารที่ได้รับเข้าไปไม่เพียงพอก็อาจเกิดโทษกับร่างกายได้เช่นเดียวกัน จากการที่มีเรื่องสุขภาพจิตร่วมด้วยดังที่กล่าวไว้ข้างต้นนั้น อาการหลักๆ คือการที่ผู้ป่วยไม่อยากอาหารและรับประทานไม่ลงจึงส่งผลให้โภชนาการไม่พอต่อความต้องการในการร่างกายนั่นเอง

4. ปัญหาจากการควบคุมระบบขับถ่าย

อีกปัจจัยหนึ่งที่พบในผู้ป่วยติดเตียงและผู้สูงอายุเนื่องจากไม่มีความสามารถที่จะควบคุมการอุจจาระและการปัสสาวะได้ ผลที่ตามมาคือความอับชื้นในผ้าอ้อมที่ใส่อยู่ซึ่งหากเกิดในขณะที่หลับแล้วปล่อยไปจนช่วงเช้าก็จะทำให้มีความเสี่ยงที่ก่อให้เกิดแผลได้

5. ผิวหนังถูกเสียดสี

สาเหตุนี้เกิดจากการที่ผิวหนังเกิดการเสียดสีกับเนื้อผ้าของเครื่องนุ่งห่มที่สวมใส่จึงทำให้เกิดการอับชื้นและเกิดเป็นแผล

แผลกดทับมีกี่ระดับ

แบ่งได้ตามความรุนแรงออกเป็น 4 ระดับ ดังนี้

ระดับที่ 1

ผิวหนังยังไม่เกิดการฉีกขาด

  • รอยแดงเฉพาะที่และรอยแดงยังคงอยู่เมื่อใช้นิ้วมือกด

ระดับที่ 2

สูญเสียชั้นผิวหนังบางส่วนจนมองเห็นชั้นหนังแท้

  • แผลมีสีชมพูหรือสีแดง
  • ไม่พบเนื้อเยื่อใหม่
  • ไม่พบเนื้อตาย
  • มีตุ่มน้ำใสหรือตุ่มน้ำใสที่แตก

ระดับที่ 3

สูญเสียชั้นผิวหนังทั้งหมดจนมองเห็นชั้นไขมัน

  • มองเห็นชั้นไขมันในแผล
  • มองไม่เห็นชั้นพังผืด กล้ามเนื้อ เส้นเอ็น กระดูก
  • อาจพบเนื้อเยื่อใหม่สีแดง
  • อาจพบเนื้อตาย

ระดับที่ 4

สูญเสียชั้นผิวหนังทั้งหมดและชั้นเนื้อเยื่อใต้ผิวหนัง

  • มองเห็นและตรวจพบชั้นเนื้อ เยื่อพังผืดกล้ามเนื้อ เส้นเอ็น และกระดูก
  • อาจพบเนื้อตาย
 

แผลกดทับดูแลรักษาและป้องกันอย่างไร

การดูแลแผลชนิดนี้มีหลากหลากและแตกต่างกันเนื่องจากมีสภาพและระดับความรุนแรงที่ต่างกันรวมไปถึงตำแหน่งที่ต่างกันด้วย ดังนั้นในการดูแลหรือป้องกันจึงต้องพิจารณาไปตามกรณีของแต่ละบุคคลไป

1. ประเมินจากสภาพผิวหนังและแผล

สิ่งที่ต้องคำนึงถึงคือสภาพของรอยแผลและบริเวณผิวที่มีความเสี่ยงที่จะเกิดแผลขึ้นได้ โดยทั้ง 2 กรณีก็จะมีการดูแลที่ต่างกันออกไป

1.1 กรณีที่มีแผล

ปรับเปลี่ยนและจัดท่านอนให้ผู้สูงอายุหรือผู้ป่วยให้บ่อยครั้ง (2 ชั่วโมงเปลี่ยน 1 ครั้ง) หากเป็นท่านอนตะแคงให้เอียงได้ประมาณ 30-45 องศา หากนอนหนุนหมอนก็ให้มีความสูงประมาณ 30 องศาเพราะการปรับองศาเช่นนี้จะลดแรงเสียดสีได้ด้วยรวมถึงพยายามอย่านั่งกดทับแผลและทำความสะอาดแผลและบริเวณโดยรอบอยู่เสมอ

1.2 กรณีที่ไม่มีแผลแต่มีบริเวณเสี่ยง

ประเมินผิวหนังที่ถูกกดทับและบริเวณที่ใกล้เคียงทุกครั้งที่มีการเปลี่ยนท่านอน โดยปกติหากเกิดรอยแดงนั้นรอยดังกล่าวจะหายภายใน 30 นาทีดังนั้นการเปลี่ยนท่านอนให้ผู้สูงอายุหรือผู้ป่วยจึงเป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่ง

2. ทำกายภาพบำบัด

ผู้อ่านอาจสงสัยว่าการกายภาพบำบัดให้กับผู้สูงอายุหรือผู้ป่วยเกี่กับแผลชนิดนี้จะช่วยป้องกันหรือแก้ไขปัญหาที่พวกเขาพบเจอได้อย่างไร เหตุผลเป็นเพราะว่าการทำกายภาพบำบัดนี้จะช่วยให้การหมุนเวียนโลหิตกระจายไปหล่อเลี้ยงทุกๆ ส่วนได้ดีขึ้นส่งผลให้บริเวณที่มีรอยแดงเพราะถูกกดทับมีความเสี่ยงที่จะเกิดแผลน้อยลงนั่นเอง

3. ดูแลโภชนาการ

โภชนาการเป็นปัจจัยหนึ่งในการส่งเสริมการหายของแผล  เนื่องจากสารอาหารที่สมดุลช่วยให้แผลหายเร็วขึ้น สำหรับผู้ป่วยควรรับประทานอาหาร ประเภทโปรตีนเพื่อช่วยในการสงเสริมการหายของแผล โดยปริมาณโปรตีนที่ผู้ป่วยมีควรได้รับคือ 1.25-1.5 กรัม/น้ำหนักตัว 1กิโลกรัม/วันและควรได้รับสารอาหาร 30-35 กิโลแคลอรี่ตอกิโลกรัมต่อวัน นอกจากนี้ยังมีสารอาหารอื่นๆ เช่น สังกะสี วิตามิน และไขมันอื่นๆ ที่สามารถช่วยให้แผลหายเร็วขึ้นได้ด้วย

4. ยาที่ใช้รักษา

ยาแก้ปวดเฉพาะที่ ผู้ป่วยอาจได้รับยาแก้ปวดเฉพาะที่หรือยาบรรเทาอาการปวดที่ไม่ผสมสารสเตียรอยด์ เช่น ไอบูโพรเฟน หรือนาพรอกเซน จะเห็นได้ว่าจะมียาที่ใช้รักษาไม่มากมายนักเนื่องจากแผลชนิดนี้จะมีสภาพเป็นเนื้อตาย การผ่าตัดนำเนื้อตายออกหรือรับยาปฏิชีวนะจึงจะได้รับการนิยมมารักษาเสียเป็นส่วนใหญ่

5. ปรึกษาแพทย์และผู้เชี่ยวชาญ

หากสมาชิกในครอบครัวรู้สึกว่ายังมีความรู้ในเรื่องของการดูแลผู้สูงอายุหรือผู้ป่วยที่มีแผลชนิดนี้ยังไม่มากพอก็สามารถขอคำปรึกษาจากแพทย์ที่โรงพยาบาลหรือผู้เชี่ยวชาญที่ศูนย์ดูแลผู้สูงอายุหรือผู้ป่วยต่างๆได้ เพื่อนำข้อมูลและคำแนะนำมาปรับใช้ในการดูแลเองที่บ้าน

อย่างไรก็ดี “การป้องกันและดูแล” ยังคงเป็นหัวใจสำคัญที่คอยส่งเสริมและรักษาสมดุลของแผลที่แสนอันตรายชนิดนี้ได้เป็นอย่างดี ดังนั้นสมาชิกในครอบครัวจึงต้องหมั่นใส่ใจและรับคำแนะนำจากแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญให้ได้มากที่สุดเพื่อความปลอดภัยของผู้สูงอายุและผู้ป่วยที่บ้านให้อยู่กับคนที่พวกเขาได้อีกนาน

บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ

สังเกตภาวะซึมเศร้าในผู้สูงอายุ มีความอันตรายอย่างไร

ออฟฟิศซินโดรม (office syndrome) คืออะไร?

การดูแลผู้สูงอายุอย่างไรให้สุขภาพดี มีความสุข อายุยืนยาว

บทความอื่นๆ

หากสนใจหรืออยากสอบถามบริการ สามารถสอบถามได้ที่ รักษ์คุณ โฮมแคร์ & รักษ์คุณ เฮลท์ รีแฮบิลิเทชั่น

เบอร์โทรศัพท์ 062-442-5962 

เวลาทำการ จันทร์ – อาทิตย์ 08.00-20.00 น.

Line รักษ์คุณ โฮมแคร์: @rukkhun.hc (มี @)

เพิ่มเพื่อน

Facebook Page: รักษ์คุณ โฮมแคร์

รักษ์คุณ เฮลท์ รีแฮบิลิเทชั่น Rukkhun Health Rehabilitation Rukkhun Home Care รักษ์คุณ โฮมแคร์
บริการ รักษ์คุณ โฮมแคร์ เป็นสถานบริการดูแลฟื้นฟูผู้ป่วยหลอดเลือดในสมองตีบ ผู้สูงอายุ ทั้งระยะสั้น และระยะยาว ดูแลผู้ป่วยหลังผ่าตัด ฟื้นฟูสมรรถภาพหลังอาการเจ็บป่วยโดยทีมสหวิชาชีพ ประกอบไปด้วย ทีมแพทย์เฉพาะทาง มีแพทย์ที่พร้อมให้คำปรึกษาตลอด 24 ชม. ทีมผู้ดูแลที่มีประสบการณ์ในการดูแลผู้สูงอายุและผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง ให้บริการกระตุ้นสมองด้วยแม่เหล็กไฟฟ้า (TRANSCRANIAL MAGNETIC STIMULATION: TMS) และกายภาพบำบัดครบวงจร (REHABILITATION CENTER) พร้อมให้คำปรึกษาตรวจและรักษาโดยนักกายภาพบำบัดผู้เชี่ยวชาญ ที่นี่เราให้เป็นมากกว่าสถานบริการพยาบาลเพราะเราเน้นการให้บริการแบบครบวงจร ทีมงานผู้เชี่ยวชาญที่รักในการบริการพร้อมดูแลผู้สูงวัยทุกท่านประดุจญาติผู้ใหญ่ของตนเอง มีบริการดูแลช่วยเหลือกิจวัตรประจำวัน ดูแลทำความสะอาดร่างกายโดยทั่วไปในกรณีที่ผู้ป่วยช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ ตรวจวัดความดัน ชีพจร อุณหภูมิ ออกซิเจน กายภาพบำบัด ดูแลสุขภาพตามคำสั่งแพทย์ บริการอาหาร 3 มื้อ และอาหารว่างที่มีทีมดูแลด้านโภชนาการให้เหมาะสมกับแต่ละบุคคลโดยเฉพาะ รวมทั้งมีกิจกรรมสันทนาการให้ผู้สูงวัย นอกจากนี้เราก็ใส่ใจด้านความปลอดภัยอย่างสูงสุดด้วยการติดกล้องวงจรปิดทุกจุดในสถานที่พักตลอด 24 ชั่วโมง