“พลัดตกหกล้ม” เป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับต้นๆ ในกลุ่มของการบาดเจ็บโดยไม่ได้ตั้งใจ ซึ่งรองจากการบาดเจ็บจากอุบัติเหตุทางถนน โดย 1 ใน 3 พบว่ามักอยู่ในกลุ่มผู้สูงอายุที่มีอายุ 65-75 ปีขึ้นไปและดูเหมือนว่าจะมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นตามอายุที่เพิ่มขึ้นอีกด้วย นอกจากนี้สิ่งที่น่าเป็นห่วงที่ตามมาก็คือการบาดเจ็บหลังจากการอุบัติเหตุ ซึ่งในผู้สูงอายุมักพบการสระดูกสะโพกแตกหรือหักและกรณีที่แย่กว่านั้นคือการกระทบกระเทือนสมอง ดังนั้นอุบัติเหตุเช่นนี้จึงเป็นเรื่องที่ลูกหลานในครอบครัวไม่ควรนิ่งนอนใจ
สาเหตุของการพลัดตกหกล้มเกิดจากอะไรได้บ้าง
แม้จะดูเป็นอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นได้ง่ายแต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะป้องกันไม่ได้เลย ซึ่งก่อนที่เราจะรู้ว่าเราสามารถป้องกันการพลัดตกหกล้มให้กับผู้สูงอายุของครอบครัวของเราได้นั้นเราต้องทราบถึงสาเหตุที่แท้จริงการเกิดอุบัติเหตุเหล่านี้ให้ได้เสียก่อน โดยสาเหตุหลักๆ ประกอบด้วย
1. สาเหตุทางร่างกายและสุขภาพ
มักจะเกิดจากการความเสื่อมถอยของอวัยวะทั้งภายในและภายนอกร่างกาย เช่น กระดูก ข้อต่อต่างๆ ของหัวเข่า เป็นต้น รวมไปถึงความสามารถในการเคลื่อนไหวที่ไม่เหมือนเดิม เช่น การทรงตัว การเดิน แขนขาอ่อนแรง อาการบ้านหมุน อีกทั้งยังมีปัญหาสายตาที่ทำให้การมองเห็นของผู้สูงอายุไม่ชัดเจนเหมือนเดิมนั่นเอง
2. สาเหตุทางสภาพแวดล้อม
เป็นสาเหตุหลักๆ ของการอุบัติเหตุในผู้สูงอายุเลยก็ว่าได้ เพราะไม่ว่าจะเป็นที่อยู่อาศัยรวมไปถึงอุปกาณ์ในการช่วยพยุงการเดินต่างก็เป็นสิ่งแวดล้อมที่ผู้สูงวัยต้องใช้ในชีวิตประจำวันทั้งสิ้น ซึ่งมักจะเกิดขึ้นจากหลายสาเหตุ เช่น พื้นห้องน้ำเปียก พื้นลื่น พื้นหรือบันไดมีระดับต่างกันอย่างกระทันหัน อุปกรณ์ช่วยพยุงเกิดการชำรุด และสะดุดชายเสื้อผ้าที่ยาวเกินไป โดยประเด็นดังกล่าวไม่ควรถูกปล่อยปะละเลยอย่างยิ่ง
การบาดเจ็บที่อาจเกิดขึ้นหลังจากได้รับอุบัติเหตุ
จากที่กล่าวไว้ตอนต้น หลังจากได้รับอุบัติเหตุ (ในกรณีที่เกิดขึ้นจริง) แน่นอนว่าสิ่งที่ตามมาคืออาการบาดเจ็บที่ได้รับโดยอาการบาดเจ็บต่างๆ ก็จะแตกต่างกันออกไปซึ่งก็จะขึ้นอยู่กับความร้ายแรงจากอุบัติเหตุที่ผู้สูงอายุท่านั้นๆได้ประสบมา แล้วการบาดเจ็บที่ว่านั้นสามาารถเกิดขึ้นไปในทิศทางไหนได้บ้าง?
1. ฟกช้ำ
เป็นผลข้างเคียงเบื้องต้นที่มักเกิดขึ้นและมีความรุนแรงที่น้อยที่สุด เนื่องจากหลังจากการพลัดตกเตียงหรือหกล้มบนพื้นห้องนอนหรือห้องน้ำอาจเกิดการกระแทกกับอุปกรณ์อื่นๆ ในสถานที่ดังกล่าว การเกิดการฟกช้ำจึงเป็นอาการบาดเจ็บต้นๆ ที่เกิดขึ้นได้ง่ายที่สุด
2. ปวดส่วนต่างๆ ตามร่างกาย
เป็นอาการบาดเจ็บที่รองลงมาจากการฟกช้ำซึ่งส่วนใหญ่ผู้สูงอายุที่ได้รับอุบัติเหตุจะเกิดการปวดหลังหรือเกิดการระบมตรงส่วนที่กระแทกโดยตรงหรือเป็นอาการข้างเคียงที่ถูกกระทบถึง เช่น ในที่ล้มก้นอาจกระแทกแต่ว่าอาการบาดเจ็บดันกระทบมาถึงช่วงแผ่นหลังเพราะเป็นอวัยวะที่เชื่อมต่อกันนั่นเอง
3. กระดูกสะโพกและข้อต่อต่างๆ แตกหัก
มีความรุนแรงที่เพิ่มขึ้นมาและอาจอาจทำให้ผู้สูงอายุที่มีอาการบาดเจ็บนี้ต้องเข้าโรงพยาบาลและรักษาตัวเป็นระยะเวลานานเพราะกระดูกหรือข้อต่อบางจุดในร่างกายนั้นหากเกิดการหักขึ้นอาจทำให้เกิดความเจ็บปวดเรื้อรัง พิการ และที่หนักที่สุดคือเสียชีวิต (ในกรณีเสียชีวิตหากไม่ได้เกิดจากการบาดเจ็บโดยตรงก็จะมาจากภาวะแทรกซ้อนหรือการติดเชื้อจากแผลและการกดทับต่างๆได้ด้วย)
4. ระบบสมองกระทบกระเทือน
ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าระบบประสาทและสมองนั้นมีความสำคัญและอ่อนไหวเป็นอย่างมาก หากได้รับผลกระทบแค่เพียงเล็กน้อยก็อาจทำให้เสียชีวิตหรือเจ็บป่วยขั้นรุนแรงได้เลยทีเดียว โดยเฉพาะการต้องพลัดตกหรือหกล้มที่อาจทำให้ศีรษะกระแทกเข้ากับพื้นบ้านหรือบันไดง่ายๆ และยิ่งหากเป็นผู้สูงอายุในบ้านยิ่งต้องคอยระวังเพราะง่ายต่อการเกิดอุบัติเหตุแต่ยากต่อการรักษานั่นเอง
การปฐมพยาบาลเบื้องต้นที่สามารถทำได้
เมื่อหลีกเลี่ยงไม่ได้ “การปฐมพยาบาล” ก็ถือเป็นเรื่องที่สำคัญสำหรับอุบัติเหตุในผู้สูงอายุที่อาจเกิดภายในบ้านหรือสถานที่ต่างๆ ที่ไกลมือแพทย์ ดังนั้นหากลูกหลานในครอบครัวใดต้องเจอเหตุการณ์ที่ไม่พึงประสงค์เช่นนี้และพบว่ายังพอที่จะปฐมพยาบาลได้ก่อนเพื่อลดความเสี่ยงในการบาดเจ็บและเสียชีวิตก็สามารถทำได้ ซึ่งประกอบด้วยวิธีการต่างๆ ดังนี้
1. กรณีศีรษะกระแทก
หากพบว่าศีรษะของผู้สูงอายุท่านนั้นๆ ได้รับความกระทบกระเทือน หมดสติและไม่รู้สึกตัวให้นอนท่าเดิมและเรียกรถพยาบาล
2. กรณีรู้สึกตัวดีแต่มีอาการปวดส่วนต่างๆ ตามร่างกาย
ในกรณีที่ผู้สูงอายุที่ได้รับอุบัติเหตุยังรู้สึกตัวดีแต่มีอาการปวดส่วนต่างๆ ของร่างกายร่วมอยู่ เช่น ปวดตรงบริเวณต้นคอ ก็ให้นอนราบกับพื้นอย่าพยายามขยับร่างกายผู้สูงวัยที่ได้รับบาดเจ็บและไม่หาอะไรมาให้หนุน จากนั้นให้เรียกรถพยาบาล
3. กรณีปวดเฉพาะที่ เช่น สะโพกและต้นขา
เป็นอวัยวะที่ค่อนข้างอันตรายหากผู้ไม่มีความเชี่ยวชาญต้องเคลื่อนย้ายเพราะจะทำให้มีการเคลื่อนของกระดูกมากขึ้น ดังนั้นสิ่งที่ทำได้คือการขยับให้ผู้สูงอายุที่ได้รับบาดเจ็บอยู่ในท่าที่เขาปวดสะโพกหรือต้นขาน้อยที่สุดแล้วจึงค่อยเรียกรถพยาบาล
4. กรณีที่ศีรษะกระแทกแต่ไม่ปวดต้นคอ
ในกรณีนี้หากศีรษะของผู้สูงอายุได้รับการกระแทกแต่ไม่ปวดต้นคอและยังรู้สึกตัวดี สมาชิกในครอบครัวสามารถนำส่งโรงพยาบาลได้เลยแต่หากมีเลือดออกก็ให้นำผ้าสะอาดกดบริเวณที่เลือดออกไว้ประมาณ 10-15 นาทีแล้วจึงนำส่งโรงพยาบาล
การป้องกันและดูแลเพื่อลดความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุ
อีกสิ่งที่ขาดไม่ได้ในกรณีที่ทุกๆ ครอบครัวเมื่อไม่สามารถเลี่ยงอุบัติเหตุในผู้สูงอายุที่ไม่ได้ตั้งใจได้ คือการเรียนรู้ที่จะป้องกันและดูแลเพื่อลดความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุที่ไม่พึงประสงค์ให้ได้นั่นเอง โดยจะแบ่งออกการป้องกันออกเป็น 2 ส่วนตามสาเหตุ ดังนี้
1. การป้องกันและดูผู้สูงอายุในครอบครัว
1.1 รู้ความเสี่ยงของตนเอง
ผู้สูงอายุควรได้รับการประเมินสุขภาพและร่างกายจากทั้งคนในครอบครัวหรือแพทย์และผู้เชี่ยวชาญเพื่อรู้ความเสี่ยงของตนเองในการเกิดการพลัดตกหกล้มที่อาจเกิดขึ้นเพื่อจะได้มีความระมัดระวังมากขึ้นในการทำกิจกรรมต่างๆ ในระหว่างวัน
1.2 ตรวจสายตาและการมองเห็น
ผู้สูงอายุควรได้รับคำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญหรือแพทย์ที่เกี่ยวกับสายตาและการมองเห็น เพราะประสาทสัมผัสในการมองเห็นนั้นจำเป็นเป็นอย่างมากในการใช้ร่วมกับการเดินเหินไปยังที่ต่างๆ การตรวจไว้จึงย่อมดีกว่า
1.3 ฝึกการเดินและออกกำลังกาย
การดูแลในข้อนี้คือข้อที่ทำง่ายมากที่สุดเนื่องจากตัวผู้สูงอายุเองสามารถออกกำลังกายได้ด้วยตนเองและลูกหลานก็อยู่สังเกตได้อย่างใกล้ชิดอีกด้วย การฝึกเดินหรือการบริหารร่างกายมีหลายแบบซึ่งเลือกให้เหมาะสมกับผู้สูงอายุแต่ละท่านได้ตามความสะดวกอีกด้วย
1.4 เสื้อผ้าที่ควรมีขนาดที่พอดี
นอกจากจะสวมใส่สบายแล้วอีกสิ่งที่ญาติๆ ในครอบครัวควรคำนึงถึงคือขนาดของเสื้อผ้าที่ผู้สูงอายุสวมใส่ซึ่งแท้จริงแล้วควรมีขนาดที่พอดีและไม่ยาวจนเกะกะในการเดิน ส้นรองเท้าก็ต้องเป็นส้นเตี้ยเพื่อความมั่นคงในการเดิน
2. การป้องกันและดูแลสภาพแวดล้อม
2.1 บริเวณที่อยู่อาศัย
ผู้สูงอายุควรพักอาศัยในบ้านชั้นเดียวหรือพักชั้น 1 ในกรณีที่เป็นบ้าน 2 ชั้น
2.2 แสงสว่างตามบริเวณบ้าน
ในทุกๆ บริเวณภายในบ้านควรมีแสงสว่างให้ส่องไปถึงเนื่องจากผู้สูงอายุส่วนใหญ่นั้นเริ่มมีประสาทในการมองเห็นเสื่อมถอยลง ดังนั้นบริเวณใดที่ผู้สูงอายุในครอบครัวต้องไปอยู่เป็นประจำสมาชิกในบ้านก็สามารถช่วยกันดูแลให้ท่านมองเห็นได้ถนัดขึ้น
2.3 ความเหมาะสมของเครื่องอำนวยความสะดวกในบ้าน
- ราวบันได
ควรมีราวจับ 2 ข้างเพื่อไว้ช่วยพยุงและป้องกันการลื่นล้ม ควรสูงจากระดับพื้นประมาณ 80 เซนติเมตร (หากเป็นรูปตั้งควรสูงไม่เกิน 15 เซนติเมตรและ รูนอนไม่เกิน 28 เซนติเมตร) เพื่อความพอดีและมีแถบสีที่ชัดเจนคอยความสูงของราวบันไดบอกอยู่ด้วย
- เตียง
ห้องนอนของผู้สูงอายุควรมีความสูงเพียงข้อพับเข่าของท่านเพื่อให้ลุกจากเตียงได้อย่างสะดวก
- ห้องน้ำ
ควรมีห้องน้ำติดห้องนอนเพราะจะได้สะดวกในการเดินเข้าห้องน้ำโดยเฉพาะบ้านที่ผู้สูงอายุยังต้องทำธุระส่วนตัวด้วยตนเองยิ่งควรมี พื้นห้องน้ำไม่ลื่นและมีพื้นที่เอียงไปทางท่อระบายน้ำไม่ให้น้ำขังหรือมีราวจับในห้องน้ำเพื่อความมั่นใจว่าท่านสามารถพยุงตัวเองได้
- สวิตซ์ไฟ
สวิตซ์ควรสูงจากระดับพื้นประมาณ 120 เซนติเมตร และตั้วปลั๊กควรสูง 35-50 เซนติเมตร นอกจากนี้อุปกาณ์ในห้องครัวหรือห้องน้ำต่างๆ ควรคำนึงถึงความสูงหรือความสะดวกของผู้สูงอายุในครอบครัวเป็นอันดับต้นๆ เพื่อไม่ให้ท่านต้องเอื้อมหรือปีนขึ้นไป
อย่างไรก็ดี ไม่มีใครอยากให้เกิดอุบัติเหตุที่ไม่ได้ตั้งใจขึ้นกับคนในครอบครัวโดยเฉพาะกับผู้สูงอายุซึ่งเปรียบเสมือนหัวใจของบ้าน ดังนั้นการป้องกันและการดูแลจึงเป็นสิ่งที่สมาชิกในบ้านควรให้ความสำคัญหรือหากหลีกเลี่ยงการที่ต้องให้ท่านอยู่บ้านลำพังไม่ได้จริงก็อาจจะพาท่านไปที่ศูนย์ดูแลผู้สูงอายุสักแห่งเพื่อที่จะทำให้เราสบายใจได้ว่าจะมีคนดูแลท่านในระหว่างวันที่เราไม่อยู่ได้นั่นเอง
บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ
10 ท่าออกกำลังกายผู้สูงอายุ ที่เหมาะสมกับวัย
บทความอื่นๆ
ผู้ป่วย อัลไซเมอร์ ไม่ยอมนอน ดูแลอย่างไรดี?
ปวดศีรษะจากกล้ามเนื้อเกร็งตัว ในผู้สูงอายุ อันตรายหรือไม่ รักษาอย่างไร?
5 ท่า บริหาร หัวใจ ผู้ สูงอายุ ช่วยให้ผู้สูงวัยหัวใจแข็งแรง