“ผู้ป่วยหลอดเลือดในสมองตีบ” เป็นโรคทางสมองที่ผู้สูงอายุส่วนใหญ่จะกังวลกันมาก เนื่องจากเป็นภาวะอาการที่มักพบในผู้สูงวัยที่มีอายุอยู่ช่วง 60 ปีขึ้นไป แถมยังเป็นโรคที่เป็นสาเหตุของการเสียชีวิตมากที่สุดเป็นอันดับ 2 รองจากมะเร็งอีกด้วย สาเหตุที่โรคหลอดเลือดสมองชนิดนี้น่ากลัวสำหรับผู้สูงวัยก็เป็นเพราะมันสามารถเกิดขึ้นได้ง่ายกับพวกท่านนั่นเอง เนื่องจากเมื่ออายุมากขึ้น ความแข็งแรงของหลอดเลือดหรือระบบประสาทต่างๆ ก็เสื่อมถอยตามกาลเวลา ดังนั้น จึงไม่แปลกอะไรที่พวกท่านจะมีวิตกกับโรคนี้ อย่างไรก็ดี ผู้สูงอายุบางท่านไม่สามารถหลีกเลี่ยงการเป็นผู้ป่วยโรคนี้ได้ และกำลังประสบปัญหาต่างๆ กับการเป็นผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองชนิดนี้อยู่ เหตุการณ์เช่นนี้จึงพอจะเป็นเหตุผลที่มากพอให้บุตรหลานแต่ละบ้านศึกษาวิธีการดูแลผู้สูงวัยที่เป็นผู้ป่วยโรคนี้ให้ถูกวิธี
ผู้ป่วยหลอดเลือดในสมองตีบ มีอาการอย่างไร ต้องพบกับปัญหาอะไรบ้าง?
โรคหลอดเลือดสมอง หรือที่รู้จักกันในปัจจุบันกันว่าเป็นอาการ อัมพฤกษ์ อัมพาต เกิดจากโรคหลอดเลือดสมองเป็นอาการที่คนทั่วไปโดยเฉพาะผู้สูงอายุจะกลัวกันมาก เมื่อมีอาการแขนขาอ่อนแรงซีกใดซีกหนึ่งของร่างกายแล้วมักจะไม่ค่อยหาย หรือหายแต่ไม่หายสนิท ต้องใช้เวลาฟื้นฟูสมรรถภาพค่อนข้างนาน มีความพิการหลงเหลืออยู่บ้าง ไม่มากก็น้อย สาเหตุของอาการมีได้หลายอย่าง แต่ที่พบบ่อยที่สุด คือ โรคหลอดเลือดสมองตีบ อุดตัน หรือแตก ส่งผลให้ออกซิเจนไปเลี้ยงสมองไม่พอ จนทำให้สมองขาดเลือด และทันทีที่สมองขาดเลือด เซลล์สมองต่างๆ จะค่อยๆถูกทำลาย ส่งผลให้สมองสูญเสียหน้าที่จนเกิดเป็นอัมพฤกษ์ อัมพาต หรือเสียชีวิตได้
ประเภทของโรคหลอดเลือดสมองในผู้สูงอายุ
โดยทั่วไปโรคหลอดเลือดสมองที่เกิดขึ้นในผู้สูงอายุจะเหมือนกับภาวะที่เกิดขึ้นในวัยผู้ใหญ่ โดยสามารถแบ่งออกเป็น 2 ชนิด ดังนี้
1. กลุ่มโรคหลอดเลือดสมองชนิดขาดเลือดเฉียบพลัน (ischemic stroke)
สาเหตุเกิดจากการอุดตันของหลอดเลือดส่งผลให้การไหลเวียนของเลือดไปยังสมองลดลงเกิดการตายของเนื้อสมอง ซึ่งกลุ่มโรคหลอดเลือดสมองชนิดนี้จะรวมกลุ่มโรค Transient Ischemic Attack (TIA) ซึ่งเป็นภาวะที่จากระบบประสาทขาดเลือดไปเลี้ยงชั่วคราวส่งผลให้สมองหรือจอประสาทตาขาดเลือด ทำให้ระบบประสาทเกิดความผิดปกติโดยจะใช้ระยะเวลาจะน้อยกว่า 24 ชั่วโมงก็จะกลับมาเป็นปกติ
2. กลุ่มโรคหลอดเลือดสมองชนิดเลือดออกในสมอง (hemorrhagic stroke)
สาเหตุเกิดจากมีการแตกของหลอดเลือดแบ่งออกเป็น ICH (Intracerebralhemorrhage),IVH (Intraventricular hemorrhage) มักเกิดร่วมกับการมีประวัติเป็นโรคความดันโลหิตสูง, SAH (Subarachnoid hemorrhage) ผู้สูงอายุที่มีอายุมากกว่า 60 ปีขึ้นไปจะมีความเสี่ยงต่อการเกิดหลอดเลือดแดงโป่งพองเฉพาะที่ภายในสมอง

สาเหตุของโรคหลอดเลือดในสมองตีบ
- ไขมันไปเกาะผนังหลอดเลือด ทำให้หลอดเลือดตีบแคบและขาดความยืดหยุ่น
- เกิดจากการฉีกของผนังหลอดเลือดด้านใน ทำให้เส้นเลือดอุดตัน
- เกิดลิ่มเลือดขนาดเล็กแข็งตัวและเกาะที่ผนังหัวใจและลิ้นหัวใจ จากนั้นหลุดลอยตามกระแสเลือดไปอุดตันหลอดเลือดในสมอง
ปัจจัยเสี่ยงต่างๆ ที่ทำให้ให้เกิดโรค
-
ผู้ที่มีไขมันในเลือดสูง
มักมีไขมันสะสมอยู่ตามผนังหลอดเลือดและกีดขวางการลำเลียงของเลือด ส่งผลทำให้เลือดแข็งทั่วร่างกาย
-
ผู้ป่วยโรคเบาหวาน
เพราะในกลุ่มนี้มีน้ำตาลในเลือดสูง ทำให้เกิดหลอดเลือดแข็งทั่วร่างกายได้เช่นกัน
-
การสูบบุหรี่หรือดื่มแอลกอฮอล์ในปริมาณมาก
เพราะพวกนี้จะมีนิโคตินและคาร์บอนมอนนอกไซด์ที่ส่งผลให้ปริมาณออกซิเจนลดลง และเป็นตัวที่ทำลายผนังหลอดเลือด
-
ครอบครัวที่เคยมีประวัติเส้นเลือดในสมองตีบ
โดยผู้ที่ครอบครัวเคยมีประวัติของการเป็นโรคหลอดเลือดในสมองจะสามารถเป็นโรคได้ง่ายกว่าผู้ที่อยู่ในครอบครัวที่ไม่มีประวัติ
-
ผู้สูงอายุ
เพราะอายุที่เพิ่มขึ้นส่งผลให้หลอดเลือดเสื่อมตามไปด้วย
ลักษณะอาการของผู้ป่วยหลอดเลือดในสมองตีบ
จะมีลักษณะแตกต่างกันออกไปตามสภาพร่างกายของแต่ละคน โรคเส้นเลือดสมองตีบมักพบอาการดังต่อไปนี้
-
ปวดศีรษะ สายตาพร่ามัว
-
อัมพาตครึ่งซีก ใบหน้าบิดเบี้ยว สื่อสารไม่ได้
-
เสียการรับรู้ความรู้สึก การเคลื่อนไหวร่างกายและการทรงตัว เช่น รู้สึกชาตามตัว แขนขาอ่อนแรงหรือขยับไม่ได้ และเดินเซ เป็นต้น
ปัญหาและความต้องการพื้นฐานของผู้สูงอายุที่เป็นโรคหลอดเลือดสมอง
เมื่อผู้สูงอายุที่มีภาวะโรคหลอดเลือดสมองผ่านการรักษาในภาวะวิกฤตแล้วผู้สูงอายุเหล่านี้ต้องกลับไปดำเนินชีวิตที่บ้านของตนเอง อย่างไรก็ตามปัญหาและความต้องการขั้นพื้นฐานที่ต้องการการดูแลเป็นพิเศษจากญาติผู้ดูแล คือปัญหาเกี่ยวกับการปฏิบัติกิจวัตรประจำวัน
1. ปัญหาการเคลื่อนไหวของร่างกาย
ผู้สูงอายุโรคหลอดเลือดสมองจะมีปัญหาไม่ สามารถสั่งการให้มีการเคลื่อนไหวได้จึงทำให้เกิดภาวะกล้ามเนื้ออ่อนแรงลีบและไม่สามารถใช้งานได้เกิดข้อติดแข็งจากการที่ร่างกายไม่สามารถขยับข้อต่อของร่างกายได้เต็มที่และในบางราย มีโอกาสเกิดแผลกดทับจากการนอนท่าเดียวเป็นเวลานานๆและเกิดปัญหามือบวมมีปัญหามือเท้าบวมเนื่องจากการไหลเวียนเลือดกลับไม่ดีอันเป็นผลจากการเคลื่อนไหวของแขนขาลดลงในข้างที่เป็นอัมพฤกษ์หรืออัมพาต และผู้ป่วยที่เป็นผู้สูงอายุจะเกิดปัญหาเกิดแผลได้ง่าย
2. การพูดและการติดต่อสื่อสารผู้สูงอายุโรคหลอด
เลือดสมองอาจจะมีภาวะ Aphasia หรือ ความผิดปกติของภาษา (language) การพูด (speech) การสื่อสาร(communication) ทำให้เกิดการสื่อสารอย่างไม่ตั้งใจ
3. ปัญหาการกลืน ผู้สูงอายุโรคหลอดเลือดสมอง
จะมีปัญหาในการเคี้ยวและการกลืน หรือที่เรียกว่า ภาวะกลืนลำบาก (dysphagia) และทำให้มีโอกาสเกิดการสำลัก ขณะที่รับประทานอาหารส่งผลให้เกิดปอดอักเสบได้ง่าย
4. ปัญหาการขับถ่ายผู้สูงอายุโรคหลอดเลือดสมอง
จะมีปัญหาทั้งการขับถ่ายปัสสาวะและอุจจาระ โดยปัญหาท้องผูกอาจเนื่องจากมีการเคลื่อนไหวของลำไส้ทำงานลดลงเนื่องจากไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ อีกทั้งการนอนถ่ายอุจจาระจะยิ่งทำให้ผู้ป่วยไม่ต้องการถ่ายอุจจาระจึงเกิดภาวะท้องผูก ส่วนปัญหาการขับถ่ายปัสสาวะอาจเกิดปัญหาการติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะตามมานั่นเอง
ปัญหาของบุตรหลานที่ต้องพบเมื่อผู้สูงอายุป่วยโรคหลอดเลือดในสมองตีบ
จากสภาพดังกล่าวทำให้ผู้สูงอายุต้องมีภาวะพึ่งพาญาติผู้ดูแลเช่น สามีภรรยาลูกในการดูแลการทำกิจวัตรประจำวัน เช่น แปรงฟัน อาบน้ำ แต ่งตัว หวีผม รับประทานอาหาร
การลุกนั่งการขับถ่ายและการออกกำลังกายเพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อนต่างๆ ซึ่งการปฏิบัติการดูแลที่ค่อนข้างยาวนานเหล่านี้อาจส่งผลกระทบต่อญาติผู้ดูแลหรือรวมทั้งผู้ที่ไม่ใช่ญาติแต่ต้องรับบทบาทผู้ดูแล 3 ด้าน ได้แก่
1. ด้านร่างกาย
เกิดความเสื่อมโทรม เหนื่อย พักผ่อนไม่เพียงพอ จากการต้องอุ้มผู้ป่วยในการทำกิจวัตรประจำวัน การขาดความรู้ในการดูแลผู้สูงอายุโรคหลอดเลือดสมอง
2.ด้านจิตใจเกิด
ความเครียด มีความวิตกกังวล จากการปรับเปลี่ยนบทบาทมาเป็นผู้ดูแล
3. ด้านสังคมและเศรษฐกิจ
ในบางครอบครัวอาจมีรายได้ไม่เพียงพอจากรายจ่าย เพราะบางรายอาจต้องลาออกจากงานมาดูแลผู้ป่วยไม่มียานพาหนะพาผู้ป่วยไปโรงพยาบาล จนในบางครั้งหากญาติผู้ดูแลไม่สามารถปรับบทบาทการเป็นผู้ดูแลที่มีประสิทธิภาพได้ก็อาจจะเกิดการกระทำบางอย่างที่มีผลเสียต่อผู้สูงอายุที่เป็นโรคหลอดเลือดสมอง
ผู้ป่วยหลอดเลือดสมองตีบต้องดูแลอย่างไร?
แนวทางในการดูแลผู้สูงอายุ
-
รับประทานอาหารที่มีประโยชน์
จำพวกผักผลไม้ให้มากขึ้น และเน้นอาหารจำพวกเนื้อปลาอย่างน้อยสัปดาห์ละ 2 ครั้ง เนื่องจากโอเมก้า 3 ในปลาช่วยลดการอักเสบซ่อนเร้น และมีไขมันที่ดีต่อสุขภาพ
-
ลดการบริโภคอาหารไขมันสูง
เช่น เนื้อสัตว์ติดมัน ไขมันอิ่มตัว และไขมันทรานส์ รวมถึงลดการรับประทานอาหารที่มีรสเค็มหรือมีโซเดียมสูง
-
ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้เป็นปกติ
โดยเฉพาะผู้ป่วยโรคเบาหวาน ซึ่งต้องดูแลทั้งด้านการรับประทานอาหาร การออกกำลังกาย รวมทั้งการใช้ยารักษาอย่างเหมาะสม
-
ออกกำลังกายอย่างเหมาะสม
ดูแลสุขภาพอนามัย และฟื้นฟูร่างกาย โดยการทำกายภาพบำบัด ซึ่งจะทำให้ผู้สูงอายุได้ออกกำลังและส่งผลให้ระบบต่างๆ ในร่างกายทำงานดีขึ้น
บทบาทของบุตรหลาน-ผู้ดูแล
-
กระตุ้นให้ผู้ป่วยปฏิบัติกิจวัตรประจำวันให้มากที่สุด
เช่น อาบน้ำ แปรงฟัน ขับถ่าย ทานอาหาร แต่งตัว และให้ความช่วยเหลือถ้า จำเป็น
-
กระตุ้นให้ผู้ป่วยใช้ร่างกายข้างที่อ่อนแรง เท่าที่สามารถจะทำได้
-
ช่วยเหลือกิจกรรมที่ผู้ป่วยไม่สามารถทำได้
-
ให้กำลังใจและส่งเสริมให้ผู้ป่วยเกิดความมั่นใจในตนเอง
-
ช่วยทำกายภาพบำบัดให้ผู้ป่วย และดูแลให้ผู้ป่วยรับประทานยาตามที่แพทย์สั่ง
-
ช่วยควบคุมปัจจัยเสี่ยงอย่างเคร่งครัด ห้ามขาดยา และมาพบตามแพทย์นัด
-
ดูแลให้ผู้ป่วยได้รับน้ำและสารอาหารอย่างเพียงพอ
ในรายที่ผู้ป่วยรับประทานอาหารทางปากไม่ได้สามารถให้อาหาร ทางสายยางได้อย่างถูกวิธี ในรายที่รับประทานอาหารเองได้ ให้ระวังการสูดสำลัก
อย่างไรก็ดี ผู้ดูแลคือหัวใจสำคัญในการดูแลผู้ป่วย โดยเฉพาะผู้ป่วยสูงอายุที่อาจจะมีความดูแลยากกว่าผู้ป่วยในวัยอื่นๆ เนื่องจากสมรรถภาพทางด้านร่างกายที่เสื่อมลงตามการเวลา จึงอาจทำให้ฟื้นตัวได้ช้ากว่านั่นเอง หากแต่ท่านจะสามารถหายได้ หรือสามารถช่วยเหลือตัวเองได้หรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับการดูแลของบุตรหลานว่าดูแลด้วยวิธีที่ถูกต้องหรือไม่และมีความใส่ใจมากน้อยเพียงใด เพราะผู้สูงอายุท่านจะฟื้นตัวเร็วได้นั้นก็ขึ้นอยู่กับการดูแลของบุตรหลานนั่นเอง
บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ
บทความอื่นๆ
ผู้ป่วย อัลไซเมอร์ ไม่ยอมนอน ดูแลอย่างไรดี?
ปวดศีรษะจากกล้ามเนื้อเกร็งตัว ในผู้สูงอายุ อันตรายหรือไม่ รักษาอย่างไร?
5 ท่า บริหาร หัวใจ ผู้ สูงอายุ ช่วยให้ผู้สูงวัยหัวใจแข็งแรง