มะเร็งปากมดลูก ผู้สูงอายุเพศหญิง นับว่าเป็นโรคร้ายที่อยู่กับผู้หญิงมาอย่างยาวนาน ซึ่งค่อนข้างจะสร้างความกังวลใจอยู่ไม่ใช่น้อยเนื่องจากมีโอกาสที่จะเกิดขึ้นได้ง่ายจึงไม่น่าแปลกใจที่จะพบผู้ป่วยรายใหม่หลายแสนคนทั่วโลก รวมถึงยังเป็นชนิดของมะเร็งที่เกิดกับหญิงไทยเป็นอันดับ 1 อีกด้วย อย่างไรก็ดี ความน่ากลัวของเจ้ามะเร็งชนิดนี้ ไม่ว่าจะเกิดกับหญิงในวัยใดก็ถือว่าอันตรายทั้งสิ้น โดยเฉพาะกับผู้สูงอายุเพศหญิงที่หากเป็นผู้ป่วยโรคนี้ก็อาจทำให้รักษาและฟื้นฟูยากกว่าหญิงสาววัยอื่นๆ ดังนั้น ลูกหลานจึงต้องศึกษาและหาข้อมูลการดูแลให้ดี
มะเร็งปากมดลูก ผู้สูงอายุเพศหญิง เกิดจากอะไร ป้องกันได้หรือไม่?
มะเร็งปากมดลูกเป็นหนึ่งในโรคมะเร็งที่สร้างความกังวลใจให้กับผู้หญิงจำนวนมาก โดยเฉพาะในผู้สูงอายุที่ระบบการทำงานต่างๆ ในร่างกาย รวมถึงระบบภูมิคุ้มกันก็เสื่อมถอยตามอายุที่มากขึ้น ดังนั้น จึงไม่แปลกที่หญิงในทุกๆ วัยจะกลัวที่จะเป็นผู้ป่วยโรคนี้ เพราะมีโอกาสเป็นง่าย โดยมีข้อมูลรายงานว่าใน 1 ปีจะพบผู้ป่วยโรคมะเร็งปากมดลูก เพิ่มขึ้น 5 แสนคนทั่วโลก แต่โชคดีที่โรคนี้สามารถป้องกันได้ โดยบุตรหลานสามารถศึกษาข้อมูลและแนวทางการป้องกันไว้เพื่อดูแลผู้สูงอายุในครอบครัวได้นั่นเอง
มะเร็งปากมดลูก เกิดจาก….
มะเร็งปากมดลูกนี้เป็นมะเร็งชนิดเดียวที่ไม่จำกัดเฉพาะผู้ป่วยสตรีสูงวัย แต่มีโอกาสเกิดขึ้นกับสตรีที่มีเพศสัมพันธ์แล้วทุกคน สาเหตุเกิดจากเชื้อไวรัสเอชพีวี จากประสบการณ์พบในเด็กอายุ 17 ปี ไปจนถึง 92 ปี แต่ส่วนใหญ่จะพบในผู้หญิงวัย 30 – 55 ปี โดยมีสาเหตุหลายประการ แต่สาเหตุสำคัญที่สุดได้แก่ ไวรัส HPV (Human Papillomavirus) ซึ่งติดต่อทางเพศสัมพันธ์ จากสถิติพบว่าผู้หญิงถึงประมาณร้อยละ 80 ติดเชื้อ HPV ในช่วงใดช่วงหนึ่งของชีวิต โดยไวรัสตัวนี้จะใช้เวลาเฉลี่ยราว 5 – 10 ปีในการเปลี่ยนแปลงเนื้อเยื่อปากมดลูกปกติให้กลายเป็นมะเร็งปากมดลูก
ลักษณะอาการของมะเร็งปากมดลูก
-
ระยะเริ่มแรก
หรือในระยะก่อนเป็นมะเร็ง ผู้ป่วยจะไม่มีอาการแสดง แต่สามารถตรวจพบได้จากการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูก (ตรวจแปปสเมียร์)
-
ระยะลุกลาม
เมื่อเริ่มเป็นมากขึ้นหรือมะเร็งลุกลามมากขึ้นจะพบว่ามีอาการเลือดออกผิดปกติจากช่องคลอด (เป็นอาการที่พบได้มากที่สุดประมาณ 80-90% โดยลักษณะของเลือดที่ออกมาอาจจะเป็นเลือดออกแบบกะปริดกะปรอยระหว่างรอบเดือน, เลือดออกในขณะหรือหลังจากมีเพศสัมพันธ์ และในบางรายมีตกขาวมากผิดปกติ อาการตกขาวมีกลิ่นเหม็น และ/หรือมีเลือดปนออกมาด้วย
-
ระยะหลังมะเร็งลุกลาม
เมื่อมะเร็งลุกลามไปมากแล้วหรือลุกลามไปยังอวัยวะอื่น ๆ ในบริเวณใกล้เคียง อาจทำให้ผู้ป่วยมีอาการปวดท้องน้อย, อาจปวดหลัง ปวดก้นกบ หรือปวดหลังร้าวลงขา และหากโรคไปกดทับเส้นประสาทก็จะทำให้เกิดปัญหาต่างๆ ในร่างกายตามมาอีกมากมาย

ระยะความรุนแรงของมะเร็งปากมดลูก
โรคมะเร็งปากมดลูกนั้นสามารถแบ่งออกได้เป็น 4 ระยะ ดังนี้
-
ระยะที่ 0 (ระยะเริ่มแรกก่อนเป็นมะเร็ง)
จะเป็นระยะที่เซลล์ของปากมดลูกเริ่มเกิดการเปลี่ยนแปลง และสามารถตรวจพบได้จากการตรวจแปปสเมียร์แล้ว แต่ยังไม่สามารถตรวจพบความผิดปกติอื่น ๆ จากการตรวจร่างกายได้
-
ระยะที่ 1
เป็นระยะที่เซลล์มะเร็งยังอยู่ในเฉพาะบริเวณปากมดลูกเท่านั้น
-
ระยะที่ 2
เป็นระยะที่มะเร็งลุกลามออกจากปากมดลูกไปบริเวณช่องคลอดส่วนบนหรือบริเวณอุ้งเชิงกราน แต่ยังไม่ลุกลามถึงผนังอุ้งเชิงกราน
-
ระยะที่ 3
เป็นระยะที่มะเร็งลุกลามเข้าไปจนถึงหรือติดผนังอุ้งเชิงกราน หรือก้อนมะเร็งมีการกดทับท่อไต ทำให้การทำงานของไตเสื่อมลงจนไตด้านนั้นไม่ทำงาน (อาจเป็นกับไตทั้งสองข้างก็ได้)
-
ระยะที่ 4
เป็นระยะที่มะเร็งลุกลามไปยังอวัยวะข้างเคียงแล้ว คือ กระเพาะปัสสาวะ ลำไส้ใหญ่ ทวารหนัก หรือมะเร็งกระจายไปยังอวัยวะอื่นๆ เช่น ตับ ปอด กระดูก สมอง ต่อมน้ำเหลือง
แนวทางการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูก ผู้สูงอายุ
โดยปกติแล้วหญิงสาวในช่วงวัยรุ่น จนถึงวัยที่บรรลุนิติภาวะ หรือช่วง 20 ปีเป็นต้นไป สามารถทำการตรวจคัดกรองแบบแปปสเมียร์ได้ โดยตรวจทุก 3 ปี โดยเหตุผลที่ไม่คัดกรอง ในคนอายุต่ำกว่า 21 ปีไว้ว่า เพราะ โอกาสเกิดมะเร็งปากมดลูกระยะลุกลาม ในวัยรุ่นมีน้อยนั่นเอง
หลังจากนั้นสามารถหยุดตรวจที่สตรีท่านนั้นๆ อายุ 65 ปีเพราะก็มีโอกาสที่จะพบเจอมะเร็งปากมดลูกได้น้อยเช่นเดียวกัน อย่างไรก็ดี โอกาสพบได้น้อย ก็ยังถือว่าสามารถพบเจอได้อยู่ ซึ่งทางแพทย์ผู้เชี่ยวชาญได้ให้คำแนะนำไว้ว่าผู้สูงอายุที่อายุเกิน 75 ปีแล้วไม่จำเป็นต้องตรวจแปปสเมียร์เพื่อคัดกรองหามะเร็งปากมดลูกแล้ว แต่ยังมีความจำเป็น ที่ต้องตรวจภายใน โดยตรวจเมื่อมีอาการผิดปกติ เช่น ตกขาว ตกเลือด ปวดท้อง ปัสสาวะเล็ด ปัสสาวะแสบ ขัด ฯลฯ
เพราะถึงแม้จะมีโอกาสเป็นมะเร็งปากมดลูกน้อย แต่ก็อาจเกิดความผิดปกติจากการอักเสบ ติดเชื้อ เป็นเนื้องอก หรือมะเร็งของอวัยวะสืบพันธุ์ได้ เช่น มะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูก มะเร็ง รังไข่ เพราะฉะนั้นการตรวจภายในจึงยังเป็นสิ่งจำเป็นอยู่
วิธีป้องกันมะเร็งปากมดลูกสำหรับสตรีสูงวัย
ออกกำลังกาย
โดยบุตรหลานควรดูแลให้ผู้สูงอายุออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ และทำจิตใจให้เบิกบานแจ่มใส
ทานผัก-ผลไม้สด
เนื่องจากผู้หญิงที่ไม่ทานผักและผลไม้จะมีปัจจัยเสี่ยงที่จะเกิดมะเร็งปากมดลูกได้ง่ายเพราะขาดวิตามิน ดังนั้นสมาชิกในบ้านควรดูแลให้ผู้สูงอายุทานผลไม้-ผักอยู่เสมอ
ไม่สูบบุหรี่ หรือดื่มสุรา
เป็นอีกหนึ่งข้อปัจจัยเสี่ยงที่ส่งผลเสียต่อสุขภาพและทำให้เสียภูมิต้านทานได้ง่าย ดังนั้น ควรให้ผู้สูงอายุลดหรือเลิกทั้งการสูบบุหรี่และสุราเพื่อสุขภาพร่างกายที่ดีขึ้น
ฉีดวัคซีน
ในปัจจุบันได้มีวัคซีนป้องกันการติดเชื้อเอชพีวี (“วัคซีนมะเร็งปากมดลูก”) ออกมาให้บริการแล้ว ซึ่งจะเริ่มฉีดให้เด็กหญิงตั้งแต่อายุ 9 ปีขึ้นไป โดยฉีดจำนวน 3 เข็ม (เข็มที่ 2 จะฉีดห่างจากเข็มแรก 2 เดือน ส่วนเข็มที่ 3 จะฉีดห่างจากเข็มที่สอง 6 เดือน) ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งปากมดลูกเฉพาะที่มีสาเหตุมาจากการติดเชื้อเอชพีวีได้ถึง 70% รวมไปถึงต้องปฏิบัติตัวเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของวัคซีนให้เกิดผลสูงสุดด้วย
ตรวจสุขภาพประจำ
ที่สำคัญที่สุดก็คือหมั่นตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกเป็นประจำทุกปี เพื่อหามะเร็งปากมดลูกในระยะแรกที่ยังไม่แสดงอาการ (แปปสเมียร์) หากพบว่าเซลล์ปากมดลูกเริ่มมีความผิดปกติในระยะก่อนเป็นมะเร็งจะได้ให้การรักษาเพื่อป้องกันไม่ให้เป็นมะเร็งได้ทัน แต่หากพบว่าเริ่มเป็นมะเร็งในระยะแรก (ก่อนแสดงอาการ) ก็จะได้ให้การรักษาให้หายขาดได้
อย่างไรก็ดี จากที่กล่าวมาทั้งหมดนั้น มะเร็งปากมดลูก ผู้สูงอายุ มีสิ่งสำคัญ คือการเริ่มต้นจากการดูแลและตรวจสุขภาพอย่างสม่ำเสมอ เพราะแม้ว่าโอกาสในการพบมะเร็งชนิดนี้ในผู้สูงอายุจะมีน้อย แต่ก็ยังมีอยู่ บุตรหลานจึงไม่ควรปล่อยละเลยจนสายไป หากสังเกตอาการของผู้สูงอายุแล้วผิดปกติก็ควรรีบพาท่านไปพบแพทย์เพื่อทำการตรวจและรักษาโดยเร็วที่สุด เพื่อที่จะทำให้ท่านหายขาดจากโรคนี้ และอยู่เป็นหัวใจของบ้านไปนานๆ
บทความอื่นๆ
ผู้ป่วย อัลไซเมอร์ ไม่ยอมนอน ดูแลอย่างไรดี?
ปวดศีรษะจากกล้ามเนื้อเกร็งตัว ในผู้สูงอายุ อันตรายหรือไม่ รักษาอย่างไร?
5 ท่า บริหาร หัวใจ ผู้ สูงอายุ ช่วยให้ผู้สูงวัยหัวใจแข็งแรง