อาการชักในผู้สูงอายุ เกิดจากอะไร อันตรายหรือไม่?

อาการชักในผู้สูงอายุ มีความจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องได้รับการปฐมพยาบาลหรือนำตัวพาไปรักษาทันทีเมื่อผู้สูงอายุเริ่มมีอาการ สาเหตุของการชักในผู้สูงวัยนั้นสามารถเกิดได้จากหลายปัจจัยมากๆ ซึ่งส่วนใหญ่แล้วจะเป็นอาการที่มาจากโรคประจำตัวหรืออาการทางสมองต่างๆ อย่างไรก็ดี แม้อาการชักจะสามารถเกิดขึ้นได้ในทุกเพศทุกวัย แต่ถ้าหากพบในเด็กหรือผู้สูงอายุแล้วละก็ อาการนี้จะไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ ทำได้เพียงบรรเทาอาการเท่านั้น

อาการชักในผู้สูงอายุ เกิดจากอะไร อันตรายหรือไม่?

อาการชักในผู้สูงอายุ เกิดจากอะไร อันตรายอย่างไรบ้าง?

อาการชักเป็นอาการที่จำเป็นต้องได้รับการรักษาพยาบาลอย่างรวดเร็วและถูกต้อง เนื่องจากอาการชัก ต่อเนื่องสามารถก่อให้เกิดความพิการทางสมองและเป็นอันตรายถึงชีวิตได้หากไม่ได้รับการรักษาพยาบาลอย่างทันท่วงทีและยังอาจเกิดภาวะแทรกซ้อนได้ถ้าไม่ได้รับการดูแลอย่างถูกต้อง ดังนั้นผู้ที่ดูแลผู้สูงอายุที่มีอาการชักควรมีความรู้ ความเข้าใจ เกี่ยวกับอาการและวิธีการรับมือ

ผู้สูงอายุมีอาการชัก เกิดจาก….

ผู้ป่วยมากกว่าครึ่งเกิดอาการโรคลมชักโดยไม่ทราบสาเหตุ และในกลุ่มที่สามารถระบุสาเหตุได้ มักเกิดจากการที่สมองถูกกระทบกระเทือน ภายในสมองนั้นเต็มไปด้วยเซลล์ประสาท กระแสไฟฟ้า และสารเคมีที่ถูกเรียกว่าสารสื่อประสาท หากถูกกระทบกระเทือนและเกิดความเสียหาย อาจทำให้สมองทำงานผิดปกติจนเป็นสาเหตุให้เกิดอาการชัก
อย่างไรก็ดี อาการชักที่เกิดในผู้สูงอายุเช่นนี้ สามารถแบ่งออกได้เป็น 2 กลุ่มหลักๆ ดังนี้
  • กลุ่มที่ไม่ทราบสาเหตุอย่างแน่ชัด

ซึ่งจากที่กล่าวไว้ข้างต้นว่าผู้สูงอายุในกลุ่มนี้ไม่มีสาเหตุการชักที่แน่ชัด ซึ่งอาจมีผลมาจากประวัติคนในครอบครัวเป็นโรคลมชัก มีการสันนิษฐานว่าอาจเกิดจากกรรมพันธุ์ หรือมีความผิดปกติของยีนในร่างกาย เป็นต้น
  • กลุ่มที่สามารถพบสาเหตุได้อย่างชัดเจน

คือกลุ่มผู้ป่วยที่สามารถหาสาเหตุของโรคลมชักได้ โดยอาจเกิดจากโรคที่เกี่ยวกับหลอดเลือดสมอง เนื้องอกในสมอง เกิดจากอุบัติเหตุที่ศีรษะอย่างรุนแรง เป็นต้น นอกจากนี้ยังอาจเกิดจากการพัฒนาของสมองที่ไม่สมบูรณ์ได้อีกด้วย โดยสาเหตุเหล่านี้ส่วนใหญ่จะทำให้เกิดโรคลมชักในผู้สูงอายุ โดยเฉพาะผู้ที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป แต่ก็อาจเกิดขึ้นในช่วงวัยเด็กได้ด้วยเช่นกัน

ปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้ผู้สูงอายุเกิดอาการชัก

อายุ

โรคลมชักสามารถเกิดขึ้นได้ทุกช่วงอายุแต่ก็มักเกิดขึ้นในช่วงวัยเด็กตอนต้น และช่วงอายุ 60 ขึ้นไป

ประวัติครอบครัว

หากในครอบครัวนั้นมีประวัติว่ามีผู้ป่วยโรคลมชัก ความเสี่ยงที่จะเกิดโรคลมชักในครอบครัวก็จะยิ่งเพิ่มขึ้น

อาการบาดเจ็บที่ศีรษะอย่างรุนแรง

เป็นสาเหตุที่สามารถพบได้ในผู้ป่วยโรคลมชัก ดังนั้นเพื่อลดความเสี่ยง ควรระมัดระวังไม่ให้เกิดอุบัติเหตุที่จะกระทบกระเทือนกับศีรษะ และหลีกเลี่ยงกิจกรรมที่เสี่ยงต่อการบาดเจ็บที่ศีรษะ

โรคหลอดเลือดสมอง

ปัญหาสุขภาพที่เกิดจากหลอดเลือดสมอง จนทำให้สมองถูกทำลายสามารถกระตุ้นให้เกิดโรคลมชักได้

โรคสมองเสื่อม (Dementia)

โรคสมองเสื่อมเป็นโรคที่เกี่ยวข้องกับสมองโดยตรง ซึ่งมักเกิดกับผู้สูงอายุ โรคนี้สามารถทำให้ความเสี่ยงโรคลมชักเพิ่มขึ้นได้

การติดเชื้อที่สมอง (Brain Infections)

อาทิโรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบ ซึ่งเป็นสาเหตุของการอักเสบที่สมองหรือไขสันหลัง ทำให้สมองและระบบทำงานของประสาทผิดปกติจนเกิดโรคลมชัก

 

อาการชักที่เกิดในผู้สูงอายุ

อาการของโรคลมชักที่เห็นได้ชัดคือการชักในรูปแบบต่างๆ โดยผู้ป่วยแต่ละคน อาจเกิดอาการชักได้หลายรูปแบบ อาการชักที่มักพบได้บ่อย จะแบ่งออกได้ ดังนี้

อาการชักที่มีผลต่อทุกส่วนของสมอง (Generalized Seizures)

เป็นอาการชักที่เกิดขึ้นกับสมองทั้ง 2 ซีก แบ่งได้เป็นชนิดย่อยๆ คือ

อาการชักแบบเหม่อลอย (Absence Seizures)

เป็นอาการชักที่มักเกิดขึ้นในเด็ก อาการที่โดดเด่นคือการเหม่อลอย หรือมีการขยับเขยื้อนร่างกายเพียงเล็กน้อย เช่น การกะพริบตาหรือขยับริมฝีปาก อาการชักชนิดนี้อาจเป็นสาเหตุทำให้เกิดการเสียการรับรู้ในระยะสั้นๆ ได้

อาการชักแบบชักเกร็ง (Tonic Seizures)

เป็นอาการชักที่ทำให้เกิดอาการเกร็งของกล้ามเนื้อ โดยมักจะเกิดขึ้นกับกล้ามเนื้อบริเวณหลัง แขนและขา จนทำให้ผู้ป่วยล้มลงได้

อาการชักแบบกล้ามเนื้ออ่อนแรง (Atonic Seizures)

อาการชักที่ส่งผลให้กล้ามเนื้ออ่อนแรงลง ผู้ป่วยที่มีอาการชักชนิดนี้จะไม่สามารถควบคุมกล้ามเนื้อขณะเกิดอาการได้ จนทำให้ผู้ป่วยล้มพับ หรือหกล้มลงได้อย่างเฉียบพลัน

อาการชักแบบชักกระตุก (Clonic Seizures)

เป็นอาการชักที่ก่อให้เกิดการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อที่ผิดปกติ โดยอาจทำให้เกิดการขยับเขยื้อนในจังหวะซ้ำ มักเกิดขึ้นกับกล้ามเนื้อบริเวณคอ ใบหน้า และแขน

อาการชักแบบชักกระตุกและเกร็ง (Tonic-clonic Seizures)

เป็นอาการชักที่ส่งผลต่อกล้ามเนื้อในร่างกายทุกส่วน ทำให้เกิดอาการกล้ามเนื้อเกร็งและกระตุก ส่งผลทำให้ผู้ป่วยล้มลง และหมดสติ บางรายอาจร้องไห้ในขณะที่ชักด้วย และหลังจากอาการบรรเทาลง ผู้ป่วยอาจรู้สึกเหนื่อยเนื่องจากอาการชัก

อาการชักแบบชักสะดุ้ง (Myoclonic Seizures)

อาการชักชนิดนี้มักเกิดขึ้นแบบเฉียบพลัน โดยจะเกิดอาการชักกระตุกของแขนและขาคล้ายกับการโดนไฟฟ้าช็อต ส่วนใหญ่มักจะเกิดหลังจากตื่นนอน บ้างก็เกิดขึ้นร่วมกับอาการชักแบบอื่นๆ ในกลุ่มเดียวกัน

อาการชักเฉพาะส่วน (Partial หรือ Focal Seizures)

อาการชักประเภทนี้จะเกิดขึ้นกับสมองเพียงบางส่วน ทำให้เกิดอาการชักที่ส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกายเท่านั้น แบ่งออกเป็น 2 ประเภทคือ

  • อาการชักแบบรู้ตัว (Simple Focal Seizures) สำหรับอาการชักประเภทนี้ ขณะที่เกิดอาการ ผู้ป่วยจะยังคงมีสติครบถ้วน โดยผู้ป่วยอาจมีความรู้สึกแปลกๆ หรือมีความรู้สึกวูบๆ ภายในท้อง บ้างก็อาจรู้สึกเหมือนมีอาการเดจาวู ซึ่งเป็นความรู้สึกเหมือนว่าเคยพบเห็นหรือเกิดเหตุการณ์ที่ประสบอยู่มาก่อน ทั้งๆ ที่ไม่เคย อาจเกิดความรู้สึกร่าเริงหรือกลัวอย่างกะทันหัน และได้กลิ่นหรือรับรู้รสชาติแปลกไป รู้สึกชาที่แขนและขา หรือมีอาการชักกระตุกที่แขนและมือ เป็นต้น ทั้งนี้ อาการชักดังกล่าวอาจเป็นสัญญาณเตือนของอาการชักชนิดอื่นๆ ที่กำลังตามมา อาการเหล่านี้จะช่วยให้ผู้ป่วยและคนรอบข้างเตรียมรับมือได้ทัน
  • อาการชักแบบไม่รู้ตัว (Complex Partial Seizures) สามารถเกิดขึ้นโดยที่ผู้ป่วยอาจไม่รู้ตัวและไม่สามารถจดจำได้ว่าเกิดอาการขึ้นเมื่อใด ไม่ว่าจะในขณะที่เกิดอาการหรืออาการสงบแล้ว อาการชักชนิดนี้ไม่สามารถคาดเดาได้ โดยอาจมีอาการเช่น ขยับริมฝีปาก ถูมือ ทำเสียงแปลกๆ หมุนแขนไปรอบๆ จับเสื้อผ้า เล่นกับสิ่งของในมือ อยู่ในท่าทางแปลกๆ เคี้ยวหรือกลืนอะไรบางอย่าง นอกจากนี้ ในขณะที่เกิดอาการ ผู้ป่วยจะไม่สามารถรับรู้ถึงสิ่งที่เกิดขึ้นรอบข้างได้เลย

อาการชักต่อเนื่อง (Status Epilepticus)

อาการชักชนิดนี้เป็นอาการที่เกิดขึ้นต่อเนื่องกันมากกว่า 30 นาทีขึ้นไป หรือเป็นอาการชักต่อเนื่องที่ผู้ป่วยไม่สามารถคืนสติในระหว่างที่ชัก ซึ่งเป็นภาวะฉุกเฉินที่ต้องได้รับการรักษาโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้

ซึ่งบางครั้งอาการชักแบบเฉพาะส่วนนั้น อาจคล้ายกับอาการของโรคที่เกี่ยวข้องกับระบบประสาทอื่นๆ อาทิ อาการปวดหัวไมเกรน ซึ่งอาจมีอาการเห็นแสงวูบวาบ โรคที่เกี่ยวกับความผิดปกติในการนอนหลับ ซึ่งอาจมีอาการกล้ามเนื้ออ่อนแรงแบบกะทันหัน หรืออาการของโรคจิต จึงมีความจำเป็นมากที่ต้องใช้การทดสอบและการตรวจร่างกายอย่างละเอียดเพื่อแยกโรคลมชักออกจากโรคอื่นๆ

แนวทางการรักษาผู้สูงอายุที่มีภาวะอาการชัก

  • ใช้ยา

แม้ผู้ป่วยโรคลมชักส่วนใหญ่ประสบความสำเร็จในการรักษาโดยการใช้ยาต้านอาการชัก (Anti-epileptic Drugs: AEDs) แต่ทว่ายาชนิดนี้ไม่สามารถรักษาอาการชักให้หายขาดได้ ทำได้เพียงบรรเทาอาการให้ดีขึ้นเท่านั้น โดยกลไกหลักของยาต้านอาการชักนั้นก็คือ ตัวยาจะเข้าไปปรับเปลี่ยนปริมาณสารเคมีในสมองที่เกี่ยวข้องกับนำกระแสไฟฟ้าในสมอง ซึ่งจะช่วยลดโอกาสการเกิดอาการชัก

  • ผ่าตัดสมอง

เป็นแนวทางที่ใช้ในกรณีที่ผู้สูงอายุท่านนั้นๆ ไม่สามารถบรรเทาอาการด้วยยาได้แล้วนั่นเอง แพทย์ผู้เชี่ยวชาญจะแนะให้เข้ารับการผ่าตัดเพื่อนำเอาสมองส่วนที่เป็นสาเหตุของโรคลมชักออก ซึ่งก่อนหน้านั้นต้องทำการวินิจฉัยก่อนว่าอาการชักเกิดจากจุดใดของสมอง เพื่อทั้งทำการทำสอบทางจิตวิทยาว่าผู้สูงอายุจะมีอาการเครียดหรือวิตกกังวลในการผ่าตัดหรือไม่ การรักษาด้วยวิธีนี้จะถูกแนะนำให้ผู้ป่วยก็ต่อเมื่อสาเหตุของโรคลมชักเกิดจากส่วนใดส่วนหนึ่งในสมองที่แน่ชัด หรือการผ่าตัดนำส่วนของสมองนั้นออกแล้วจะไม่ส่งผลกระทบต่อระบบการทำงานของสมองโดยรวม

แนวทางการดูแลผู้สูงอายุเพื่อป้องกันอาการชัก

แม้ว่าจะยังไม่สามารถทราบสาเหตุที่แน่ชัดของโรคลมชัก แต่ในบางกรณีก็สามารถป้องกันไม่ให้อาการชักกำเริบได้ด้วยวิธีเหล่านี้

  • รับประทานยาอย่างสม่ำเสมอและถูกต้อง ผู้ป่วยโรคลมชักไม่ควรเปลี่ยนปริมาณยาด้วยตัวเอง ควรปรึกษาแพทย์หากรู้สึกว่าการรับประทานยาไม่สามารถควบคุมอาการชักได้
  • นอนหลับให้เพียงพอ การนอนหลับไม่เพียงพอสามารถกระตุ้นอาการชักได้ ดังนั้นจึงควรนอนหลับวันละ 6-8 ชั่วโมง
  • ออกกำลังกาย การออกกำลังกายอย่างเหมาะสมจะช่วยให้สุขภาพแข็งแรงมากขึ้น อีกทั้งยังช่วยลดอาการภาวะซึมเศร้าได้ แต่ก็ควรดื่มน้ำให้เพียงพอ และควรหยุดพักหากรู้สึกเหนื่อย

การปฐมพยาบาล “อาการชักในผู้สูงอายุ” ที่ถูกต้องนั้นควรทำอย่างไร?

  1. ห้ามนำสิ่งของใดๆก็ตามยัดปากผู้ป่วย
  2. พยายามจับผู้ป่วยนอนตะแคง เพื่อป้องกันไม่ให้น้ำลายอุดกั้นทางเดินหายใจ
  3. พยายามหาหมอนหรือสิ่งของนุ่มๆวางรองศีรษะผู้ป่วย เพื่อป้องกันศีรษะกระแทก
  4. จับเวลา ถ้าชักนานเกิน 3 นาที ผู้ป่วยจะมีภาวะเสี่ยงต่อการชักต่อเนื่อง ควรรีบเรียกรถพยาบาลโดยเร่งด่วน
  5. ถ้าผู้ป่วยใส่เสื้อผ้ารัด หรือสวมเนกไท ควรปลดให้หลวมเพื่อให้ผู้ป่วยหายใจได้สะดวก
  6. ถ้าขณะชักผู้ป่วยใส่แว่นควรถอดออก เพื่อป้องกันการแตก

อย่างไรก็ดี สิ่งสำคัญมากที่สุดของ อาการชักในผู้สูงอายุ คือการรักษาที่ต้องทำอย่างทันทีและเร่งด่วน โดยพบว่าผู้สูงอายุที่มีการรักษาอย่างถูกต้องจำนวนกว่า 70% จะไม่มีอาการชักอีกเลย แต่สำหรับผู้สูงอายุที่รักษาไม่ทันท่วงที่อาจจะเป็นสาเหตุที่ทำให้เสียชีวิตได้ ในผู้สูงวัยที่มีอาการดื้อต่อยาอาจต้องใช้วิธีการผ่าตัดหรือการรักษาอื่นๆร่วมด้วย ทั้งนี้ปัจจุบันมียาป้องกันอาการลมชักชนิดใหม่ๆ ออกมาอย่างมากมาย ซึ่งล้วนแต่มีประสิทธิภาพที่ดีขึ้นและให้ผลข้างเคียงที่ลดลง จึงทำให้คุณภาพชีวิตผู้สูงวัยดีขึ้นอย่างมาก


บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ

บทความอื่นๆ

หากสนใจหรืออยากสอบถามบริการ สามารถสอบถามได้ที่ รักษ์คุณ โฮมแคร์ & รักษ์คุณ เฮลท์ รีแฮบิลิเทชั่น

เบอร์โทรศัพท์ 062-442-5962 

เวลาทำการ จันทร์ – อาทิตย์ 08.00-20.00 น.

Line รักษ์คุณ โฮมแคร์: @rukkhun.hc (มี @)

เพิ่มเพื่อน

Facebook Page: รักษ์คุณ โฮมแคร์

รักษ์คุณ เฮลท์ รีแฮบิลิเทชั่น Rukkhun Health Rehabilitation Rukkhun Home Care รักษ์คุณ โฮมแคร์
บริการ รักษ์คุณ โฮมแคร์ เป็นสถานบริการดูแลฟื้นฟูผู้ป่วยหลอดเลือดในสมองตีบ ผู้สูงอายุ ทั้งระยะสั้น และระยะยาว ดูแลผู้ป่วยหลังผ่าตัด ฟื้นฟูสมรรถภาพหลังอาการเจ็บป่วยโดยทีมสหวิชาชีพ ประกอบไปด้วย ทีมแพทย์เฉพาะทาง มีแพทย์ที่พร้อมให้คำปรึกษาตลอด 24 ชม. ทีมผู้ดูแลที่มีประสบการณ์ในการดูแลผู้สูงอายุและผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง ให้บริการกระตุ้นสมองด้วยแม่เหล็กไฟฟ้า (TRANSCRANIAL MAGNETIC STIMULATION: TMS) และกายภาพบำบัดครบวงจร (REHABILITATION CENTER) พร้อมให้คำปรึกษาตรวจและรักษาโดยนักกายภาพบำบัดผู้เชี่ยวชาญ ที่นี่เราให้เป็นมากกว่าสถานบริการพยาบาลเพราะเราเน้นการให้บริการแบบครบวงจร ทีมงานผู้เชี่ยวชาญที่รักในการบริการพร้อมดูแลผู้สูงวัยทุกท่านประดุจญาติผู้ใหญ่ของตนเอง มีบริการดูแลช่วยเหลือกิจวัตรประจำวัน ดูแลทำความสะอาดร่างกายโดยทั่วไปในกรณีที่ผู้ป่วยช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ ตรวจวัดความดัน ชีพจร อุณหภูมิ ออกซิเจน กายภาพบำบัด ดูแลสุขภาพตามคำสั่งแพทย์ บริการอาหาร 3 มื้อ และอาหารว่างที่มีทีมดูแลด้านโภชนาการให้เหมาะสมกับแต่ละบุคคลโดยเฉพาะ รวมทั้งมีกิจกรรมสันทนาการให้ผู้สูงวัย นอกจากนี้เราก็ใส่ใจด้านความปลอดภัยอย่างสูงสุดด้วยการติดกล้องวงจรปิดทุกจุดในสถานที่พักตลอด 24 ชั่วโมง