โรคเสียงดังในหู ในผู้สูงอายุ มักเป็นเสียงที่เกิดจากต้นกำเนิดเสียงจากภายนอก บุตรหลานหลายๆ ท่านคิดว่าเป็นอาการธรรมดาแต่แท้จริงแล้วไม่เป็นเช่นนั้น เพราะเป็นภาวะที่สร้างความลำบากและทำให้เกิดความรำคาญให้แก่ผู้สูงอายุเป็นอย่างมาก อีกทั้ง โรคนี้มีทั้งภาวะที่ทั้งไม่มีอันตรายและมีอันตรายด้วย ดังนั้น บุตรหลานจึงจำเป็นที่จะต้องศึกษาข้อมูลของโรคชนิดนี้เอาไว้ เพื่อทราบถึงลักษณะอาการ และสามารถพาผู้สูงวัยไปรักษาได้อย่างวิธี
โรคเสียงดังในหู หูอื้อในผู้สูงวัยเกิดจากอะไร อันตรายหรือไม่ รักษาอย่างไรได้บ้าง?
การได้ยินลดลง ความคมชัดของเสียงลดลง หรือบางรายอาจรู้สึกเหมือนมีอะไรอุดหูหรือรู้สึกมีเสียงรบกวนในหู ซึ่งอาจเป็นเสียงแหลมวี้ด ๆ คล้ายมีแมลงวันบินอยู่ในหู หรือเป็นเสียงหึ่งๆ หรือเสียงตุบๆ ที่ดังตามจังหวะการเต้นของชีพจร เป็นต้น แต่ไม่ใช่ว่าทุกคนที่ได้ยินเสียงเหล่านี้จะรู้สึกรำคาญจนทนไม่ได้ เพราะบางคนอาจไม่มีปัญหากับอาการหูอื้อที่เกิดขึ้นเลยก็ได้ ทั้งนี้หูอื้อบางชนิดก็มีอันตราย บางชนิดก็ไม่มีอันตราย
สาเหตุที่ทำให้หูอื้อ
สาเหตุที่ทำให้เกิดอาการหูอื้อมีหลายสาเหตุ เช่น
- อาการหูอื้ออาจเกิดร่วมกับอาการปวดหู, หูตึง/หูหนวก, ปวดศีรษะ, ภาวะซีด, มีสิ่งแปลกปลอมเข้าหู
- อาการหูอื้อที่เกิดขึ้นทันทีหลังการว่ายน้ำหรือดำน้ำ (หรือใช้เครื่องส่องหูดูพบว่ามีขี้หูอุดตัน) มักเกิดจากขี้หูอุดตัน
- อาการหูอื้ออาจเกิดขึ้นหลังจากการดื่มแอลกอฮอล์ กาแฟ น้ำอัดลม ช็อกโกแลต หรือสูบบุหรี่
- ถ้ามีอาการหูอื้อร่วมกับมีก้อนค้างที่คอ อาจเกิดจากคางบวม/คอบวม
- ถ้ามีอาการหูอื้อร่วมกับเป็นไข้หวัดหรือเจ็บคอ อาจมีสาเหตุมาจากท่อยูสเตเชียนบวมจากโรคติดเชื้อ และถ้ามีเยื่อแก้วหูบวมแดงร่วมด้วยอาจเกิดจากหูชั้นกลางอักเสบเฉียบพลัน
ประเภทของเสียงในหู จากภาวะโรคเสียงดังในหู
เสียงในหู คือ เสียงที่เกิดจากความผิดปกติของหูหรืออวัยวะข้างเคียง ซึ่งอาจแบ่งออกได้เป็น 2 แบบ คือ
เสียงในหูที่ผู้ป่วยได้ยินคนเดียว (Subjective Tinnitus)
เช่น เสียงแหลมวี้ดหรือเสียงจิ้งหรีดร้อง, เสียงหึ่งๆ อื้อๆ, เสียงลม, เสียงพรึบพรับ เป็นต้น
เสียงที่แพทย์ได้ยินด้วย (Objective Tinnitus)
มักเป็นเสียงที่เกิดจากหลอดเลือดแดงใหญ่ (Carotid artery) หลอดเลือดดำใหญ่ (Jugular vein) ที่ผ่านจากคอไปสมอง ซึ่งมักเป็นเสียงตุบๆ หรือเสียงฟู่ๆ ตามชีพจร
ลักษณะเสียงรบกวนในหู
การสังเกตลักษณะเสียงรบกวนในหูของผู้ป่วยต่อไปนี้จะช่วยในการวินิจฉัยโรคที่เป็นสาเหตุได้ เช่น
เสียงแหลมวี้ดๆ คล้ายมีแมลงในหู หรือเสียงจิ้งหรีดร้อง หรือเสียงรบกวนที่มีความถี่สูง
เกิดจากความเสื่อมของหูชั้นใน ทั้งมาจากอายุที่มากขึ้นและจากการได้ยินเสียงเป็นเวลานาน ๆ หรือจากการได้ยินเสียงดังมาก ๆ ในทันที (เช่น เสียงระเบิด เสียงพลุ เสียงปืน เสียงประทัด), การติดเชื้อบางชนิด (เช่น เชื้อซิฟิลิสหรือเชื้อไวรัสที่ทำให้หูชั้นในอักเสบ), การผ่าตัดรักษาโรคทางสมองหรือทางหูบางโรคที่อาจกระทบกระเทือนประสาทหู, การใช้ยาบางอย่าง (เช่น ยาปฏิชีวนะที่มีผลข้างเคียงต่อประสาทหู ยาขับปัสสาวะบางชนิด ยาลดการอักเสบกลุ่มแอสไพริน ยาเคมีบำบัดหรือการฉายรังสีบริเวณศีรษะเพื่อรักษาโรคมะเร็ง) เป็นต้น
เสียงหึ่งๆ อื้อๆ
หรือเป็นเสียงรบกวนที่มีความถี่ต่ำ มักเกิดจากโรคน้ำในหูไม่เท่ากัน ร่วมกับอาการเวียนหัวบ้านหมุนและการได้ยินลดลง
เสียงลม
เกิดจากการทำงานของท่อปรับความดันหูผิดปกติ

การฟื้นฟูบำบัดด้วยยารักษา
- ยาคลายกังวล ยาขยายหลอดเลือด ยานอนหลับ ยาบำรุงประสาทหู ยาลดความไวประสาทหู เป็นต้น โดยต้องอยู่ภายใต้คำแนะนำของแพทย์เฉพาะทางอย่างเคร่งครัด
- การผ่าตัดผูกเส้นเลือด ผ่าตัดเนื้องอกในสมอง
รักษาเสียงรบกวนในหู
วิธีการรักษาเสียงรบกวนในหูจะรักษาตามสาเหตุที่แท้จริงเป็นหลัก ได้แก่
- เลี่ยงสิ่งกระตุ้น ได้แก่ เสียงดัง เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เป็นต้น
- เครื่องช่วยฟัง ช่วยให้ได้ยินชัดเจนขึ้นและลดอาการเสียงรบกวนในหูได้
- กลบเสียงในหู ด้วยการเปิดเพลงเบาๆ เปิดวิทยุ
การรักษาภาวะเสียงดังในหูในผู้สูงอายุด้วย TMS (เครื่องกระตุ้นเซลล์สมองด้วยแม่เหล็กไฟฟ้า)
ในการทำงาน เครื่อง TMS จะสร้างสนามแม่เหล็กกำลังสูง และส่งสนามแม่เหล็กนั้นไปกระตุ้นเซลล์สมองในบริเวณที่เป็นโรค ซึ่งการกระตุ้นให้เซลล์สมองเกิดกระแสไฟฟ้าเช่นนี้จะทำให้เซลล์สมองมีการเชื่อมต่อที่ดีขึ้น ปรับการทำงานของสารสื่อประสาทให้สมดุล ทำให้เซลล์สมองสั่งงานได้ดีขึ้น และยังเป็นการเพิ่มการทำงานของเซลล์ผนังหลอดเลือด ทำให้เพิ่มการไหลเวียนเลือดบริเวณสมองที่ได้รับการกระตุ้นอีกด้วย
อย่างไรก็ดี การรักษาโรคทางระบบประสาทด้วยเครื่อง TMS ถือเป็นการรักษาแนวทางใหม่ แม้จะเป็นทางเลือกในการรักษาโรคทางระบบประสาทร่วมกับการรักษาหลัก มีความปลอดภัยสูง ผลข้างเคียงน้อย ให้ผลการรักษาที่มีประสิทธิภาพดี แต่บุตรหลานยังคงต้องพาผู้สูงอายุที่มีอาการเสียงดังในหูเข้าพบแพทย์อยู่ เพื่อหาแนวทางการรักษาให้เหมาะกับผู้สูงอายุแต่ละท่าน ให้อาการดีขึ้น เพราะจากที่กล่าวไว้ข้างต้นว่าอาการเสียงในหูเช่นนี้มีทั้งชนิดที่แบบไม่มีอันตรายและมีอันตราย ดังนั้น บุตรหลานจึงควรเฝ้าระวังและคอยหมั่นสังเกตผู้สูงอายุว่ามีอาการในโรคนี้หรือไม่ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์ร้ายๆ ขึ้นนั่นเอง
บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ
บทความอื่นๆ
ผู้ป่วย อัลไซเมอร์ ไม่ยอมนอน ดูแลอย่างไรดี?
ปวดศีรษะจากกล้ามเนื้อเกร็งตัว ในผู้สูงอายุ อันตรายหรือไม่ รักษาอย่างไร?
5 ท่า บริหาร หัวใจ ผู้ สูงอายุ ช่วยให้ผู้สูงวัยหัวใจแข็งแรง